แฉขบวนการตุ๋นมหากาฬ
'คนโลภ-คนบ้ายศ-บ้าตำแหน่ง'เหยื่อ
เปิดโปงขบวนการแอบแฝง นำแผนธุรกิจเครือข่ายขายตรงไปใช้ผิดเพี้ยน ออกล่าเหยื่อไม่เลิก ตั้ง “มูลนิธิอาสาบรรเทาภัย" สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแก๊งเจ้ารัฐมอญปลอม หลอกคนไทยลงทุนในพม่าเสียหายกว่า 300 ล้านบาท แฉกลยุทธ์เทพอสูรสุดแสนทุเรศ ระดมคนเรียกเก็บเงิน 30,000 - 50,000 บาทติดยศทหารเก๊ระดับนายพล สร้างภาพหรูดูด “คนโลภ-คนบ้ายศ-บ้าตำแหน่ง” ร่วมเครือข่าย “ชาวไทยเชื้อสายมอญ” สุดทน รวมพลังกระชากหน้ากากคนชั่วทำลายชาติ สวดยับ “มันไม่ใช่เจ้า แต่เป็นโจร” ผู้บริหารมูลนิธิฯ พลิ้ว กลุ่มคนต้มตุ๋นกระทำกันเอง มูลนิธิฯ ไม่เกี่ยวข้อง สนง.มีนบุรี เป็นแค่ศูนย์ประสานงาน สั่งปลดออกจากสมาชิกแล้ว
ขบวนการแชร์ลูกโซ่ยังเหิมเกริมไม่หยุด ผุดโครงการระดมเงิน โดยแอบแฝงใช้แผนการจ่ายผลประโยชน์แบบธุรกิจเครือข่ายขายตรงขยายเครือข่ายโครงการแล้ว โครงการเล่า ถึงแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะติดตามไล่ล่าตรวจสอบความวิปริตผิดประเภท ในการทำธุรกิจหลอกลวง จนเกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการเปิดโครงการพิสดารต่างๆ ขึ้นมาดูดทรัพย์คนโลภอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุด ก็เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่รัฐได้บุกตรวจค้นบริษัทและองค์กรที่ร่วมมือกันอ้างโครงการร่วมลงทุนในประเทศเมียนมาระดมทรัพย์เหยื่ออีกราย โดยอุปโลกน์ตัวเองเป็นกลุ่มเจ้ารัฐมอญ จับมือกับ "มูลนิธิอาสาบรรเทาภัย" สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เครื่องแบบทหารติดยศระดับนายพลล่าเหยื่อ
"ดีเอสไอ."บุกตรวจค้น
มูลนิธิอาสาบรรเทาภัยฯ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ได้ผสานกำลังเจ้าหน้าที่และทหารร่วมตรวจค้น มูลนิธิอาสาบรรเทาภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งอยู่ เลขที่ 91/267 โครงการอาร์เค ออฟฟิศ ปาร์ค ถนนสุวินทวงศ์ แขวงและเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมดีเอสไอ และ พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ผกก.4 (บก.ป.) นำทีมหลังทราบว่า มีการหลอกลวงสมาชิกให้ร่วมลงทุนธุรกิจในประเทศเมียนมามูลค่าความเสียหาย 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ พ.ต.ต.สุริยา เปิดเผยว่า ได้มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนต่อดีเอสไอ และ บก.ป.ว่า ถูกหลอกลวงจากกลุ่มบริษัท ฮัจยี กรุ๊ป จำกัด ที่มี นางสุภัตทา จันทรรังษี เป็นประธานกรรมการบริษัท ร่วมกับ นายกอว มินต์ อู (Kyaw Myint Oo) หรือเจ้าเทพโยธิน มหาทุน ชาวสัญชาติเมียนมา แอบอ้างเป็นเจ้าแห่งรัฐมอญ สร้างเรื่องเท็จหลอกนักธุรกิจไทย ว่า มีการร่วมลงทุนที่รัฐมอญ ในประเทศเมียนมาจำนวน 78 โครงการ ทำให้มีนักธุรกิจกว่า 100 บริษัทหลงเชื่อ ซึ่ง ดีเอสไอ.ได้ทำการสอบสวนขบวนการดังกล่าวแล้วทราบว่า มีการแอบอ้างเบื้องสูง จึงจะนำเสนอ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ. ขออนุมัติเป็นคดีพิเศษ
สำหรับการดำเนินคดีดังกล่าวนี้ ดีเอสไอ.ได้ออกหมายได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหา 3 ราย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา คือ 1. นางสุภัตทา จันทรรังษี สัญชาติไทย 2. นายกอว มินต์ อู (Mr.KYAW MYINT OO) หรือเทพโยธิน มหาทุน สัญชาติชาวพม่า และ 3. นายโกสินธ์ จินาอ่อน สัญชาติไทย ในฐานความผิด ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันเผยแพร่หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ. ตำรวจสันติบาล ตำรวจ กก.4 บก.ป.และทหาร ก็ได้ร่วมกันจับกุม นางสุภัตทา และ นายโกสินธ์ ได้บริเวณย่านลาดพร้าว กทม. ก่อนที่ทหารจะอายัดตัวและนำไปสอบสวนที่ค่ายทหาร มทบ.11 เนื่องจากเกี่ยวกับความมั่นคงและมีหลายความผิด
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 เจ้าหน้าที่ก็ทำการเข้าตรวจค้นบริษัท ฮัจยี กรุ๊ป จำกัด (ไทย) ต.บ้านบึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่เปิดรับเหมาก่อสร้าง กิจการขนส่ง และขนส่งทางบก พบเครื่องแต่งกายคล้ายชุดราชการไทย ซึ่งเอาไว้หลอกลวงคนร่วมลงทุน ว่า ต้องสมัครสมาชิกก่อน จากนั้นจึงนำชุดดังกล่าวไปสวมใส่เวลาเดินทางไปรัฐมอญ โดยมีค่าประดับยศ พล.ต. 50,000 บาท และ พล.ท. 80,000 บาท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ส่วนการสอบสวนเบื้องต้น นางสุภัตทาให้การว่า เงินส่วนหนึ่งที่ได้รับมาจากผู้เสียหาย นำมามอบให้ มูลนิธิอาสาบรรเทาภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. จึงตรวจสอบไปที่กระทรวงมหาดไทย พบว่าไม่มีหน่วยงานดังกล่าวจริง จึงเดินทางไปตรวจสอบสถานที่ มูลนิธิอาสาบรรเทาภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว
สื่อสาวลึกมูลนิธิฯโยงใย
นสพ.ตำรวจพลเมือง
MGR Online ได้ทำการรายงานข่าวเจาะลึกถึงความโยงใยระหว่างแก๊งเจ้ารัฐมอญปลอมกับมูลนิธิฯ ต่อว่า มีความเป็นมาอย่างไร โดยในเนื้อข่าวระบุว่า นางสุภัตทา จันทรรังสี เป็นตัวการต้มตุ๋นประชาชนให้หลงเชื่อร่วมลงทุนแชร์ลูกโซ่รายละ 2 แสนบาท จากกิจการลวงโลกสร้างเมืองมอญ 78 แห่ง และเหมืองทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่สถานที่ที่เข้าตรวจค้นนั้น คือ สำนักงานหนังสือพิมพ์ตำรวจพลเมือง ที่แปลงโฉมเป็นสถานที่รับบริจาค และเป็นที่ตั้งของสมาคมบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขที่ 91/267 ถนนสุวินทวงศ์ เขตมีนบุรี กทม.
รายงานข่าวเจาะลึกไปอีกว่า สำนักงาน นสพ.ตำรวจพลเมืองแห่งนี้ ก่อนหน้าเมื่อปี 2559 เคยถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ.บุกทลายมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีพฤติการณ์หลอกลวงชาวบ้านให้เข้ามาเล่นแชร์ฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือ “แชร์ความตาย” ในครั้งนั้นมีการอายัดทรัพย์เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าทุกข์นับหมื่นราย ซึ่งปฏิบัติการครั้งนั้นได้เข้าตรวจค้นบ้านพัก นายทรัพย์อานันท์ เจริญวัฒอุดม บรรณาธิการผู้บริหาร บริษัท ดูแลใจพลเมือง จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของ นสพ.ตำรวจพลเมืองด้วย แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในขั้นตอนต่างๆ ของคดีแรก ไม่ว่าการส่งฟ้องผู้ต้องหาหรือการอายัดทรัพย์ เหตุใดจึงมีการกระทำผิดซ้ำสองเกิดขึ้นได้อีก
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีลวงโลกของบริษัท ฮัจยี ที่มีความเชื่อมโยงกับแก๊ง นสพ.ตำรวจพลเมืองนั้น ยังมีนายโกสินธ์ จินาอ่อน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และจากการสอบสวน พบว่า นายโกสินธ์ มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้กับแก๊งต้มตุ๋นอย่างเต็มรูปแบบ มีการจ้างโฆษณา ลงข่าวใน นสพ.และเครือข่ายสื่อหลักหลายต่อหลายครั้ง จากนั้นจะนำภาพข่าวที่เสนอในสื่อหลักไปกระจายตามเพจต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล นายโกสินธ์ จินาอ่อน พบว่าเป็นอดีต บรรณาธิการนิตยสารท้องถิ่นฉบับหนึ่ง โดยได้ร่วมขบวนการด้วยการสร้างเว็บไซต์และข่าวให้น่าเชื่อถือ
ในขณะที่ นางสุภัตทา จันทรรังสี มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับโครงการหมู่บ้านแถว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ถูกดีเอสไอ.จับกุม มีการต่อสู้คดีในชั้นศาลถูกตัดสินจำคุก 60 ปี แต่ลดโทษเหลือ 20 ปี อยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่กลับมาทำผิดซ้ำอีก ส่วน นายกอว มินต์ดู หรือ เทพโยธิน มหาทุน หม่องตัวแสบเข้ามาอาศัยในประเทศไทยตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่วัดแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบุรี สามารถพูดได้หลายภาษาทั้งไทย พม่า อังกฤษ มีลูกชายเป็นตัวแทนในการทำพิธีแหกตาชาวบ้าน เช่น มอบรางวัล อ้างเป็นรัชทายาทมอญ โดยใช้ชื่อว่า “เทพอสันติ มหาทุน” ซึ่งเผ่นหนีไปทั้งคู่แล้ว
ย้อนอดีตเปิดแผลเหวอะหวะ
ฌาปนกิจตำรวจพลเมือง
ย้อนอดีตไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ดีเอสไอ. ก็เคยนำหมายค้นของศาลจังหวัดมีนบุรี เข้าตรวจค้น บ้านนายทรัพย์อานันท์ เจริญวัฒนอุดม มาแล้วครั้งหนึ่ง ณ บ้านเลขที่ 72/98 ถนนรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี ในฐานะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ตำรวจพลเมือง ผลการตรวจค้นทางเจ้าหน้าที่ ได้ทำการอายัด บ้าน 1 หลัง และรถยนต์ จำนวน 2 คัน และสมุดบัญชี ที่มีเงินหมุนเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก โดย ดีเอสไอ.ได้เปิดเผยในขณะนั้นว่า หนังสือพิมพ์ตำรวจพลเมืองสมาคมได้จัดทำโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยการระดมประชาชนสร้างเครือข่ายเป็นการชักชวนให้บุคคลทั่วไปสมัครเข้าร่วมในอีกหลายโครงการ ด้วยการเสนอให้ผลตอบแทนกับผู้สมัครสมาชิก หากสมาชิกเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือซึ่งแก่ทางญาติ
และที่สำคัญคือ มีการชักชวนให้ผู้ใดเข้าร่วมโครงการ จะได้รับผลตอบแทนในการชักชวนต่อหัว อันเข้าลักษณะของการชี้ชวนให้มีการระดมเงิน แล้วมีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ชักชวน โดยการนำเงินที่ได้รับมาจากสมาชิกที่สมัครมาจ่ายผลตอบแทน อันเข้าข่ายการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ ซึ่งมีผู้เสียหายทั่วประเทศประมาณ 10,000 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยมีการสอบสวนปากคำไปแล้วกว่า 3,000 คน และจากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่า มีกระแสเงินหมุนเวียนในบัญชีส่วนตัวของบุคคลที่เป็นแกนนำประมาณ 300 ล้านบาท
โดยมีการยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากในรูปแบบต่างๆ จึงนำมาสู่การตรวจค้นและการยึดและอายัดทรัพย์ในครั้งนั้น ซึ่ง ดีเอสไอ.ก็แจ้งว่า กำลังเร่งดำเนินการสอบสวน และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในคดีความผิดแชร์ลูกโซ่อีกหลายคดี ซึ่งคาดว่าจะทยอยแจ้งข้อกล่าวหา และ ออกหมายจับผู้กระทำความผิดอีกหลายคดี อย่างไรก็ตามตั้งแต่นั้นมาเรื่องนี้ก็เงียบหายไป
ชาวไทยเชื้อสายมอญ
กระชากหน้ากากเจ้าเก๊
หลังจากมีข่าวการดำเนินคดีกับแก๊งเจ้ารัฐมอญทางสื่อออกมา กลุ่มชาวไทยเชื้อสายมอญ ก็ได้เคลื่อนไหวตาม
กระแสดังกล่าวทันที เพื่อปกป้องคนไทยเชื้อสายมอญ โดยมีการโพสต์เฟซบุ๊กผ่านเพจต่างๆ อาทิ “เพจรามัญรักษ์” ระบุข้อความว่า สุดท้ายก็เรียบร้อย เข้าใจว่าเรื่องนี้มีกลุ่มคนมอญหลายกลุ่มหลายคนสามัคคีกันกระชากหน้ากากออกมา ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย และอีก เพจ “รามัญคดี-MON studies” ระบุข้อความว่า " มันไม่ใช่เจ้า แต่เป็นโจร "
โดยเนื้อหาระบุดังนี้ “หลังจากที่ทางทีมเพจรามัญคดี ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ และคนไทยเชื้อสายมอญหลายๆ ท่าน ได้ร่วมกันเกาะติด ตามสืบ และแฉ กระฉากหน้ากากของขบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นนักธุรกิจไทย โดยแอบอ้างว่า เป็นเจ้ารัชทายาทมอญ แล้วมาหลอกนักธุรกิจไทยให้ไปร่วมลงทุนสุดยอด โครงการอภิมหาโปรเจ็กต์ 78 โครงการที่รัฐมอญ จนนำไปสู่การร่วมมือระหว่างทีมคนไทยเชื้อสายมอญ กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ( DSI ) เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและหาข่าว จนนำไปสู่การจับกุมทลายแก๊งขบวนการลวงโลกฝูงนี้ได้สำเร็จ
คนไทยเชื้อสายมอญได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าแผ่นดินไทยมาตั้งแต่เมื่อครั้งโบราณหลายร้อยปีมาแล้ว ได้ร่วมกันก่อร่างสร้างประเทศไทยมาจวบจนถึงปัจจุบัน ได้มีบทบาทในการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยและสร้างชื่อเสียงมามากมาย ดังนั้น ถ้ามีกลุ่มบุคคลใดมาคิดก่อการไม่ดี ทำร้ายสังคม ทำลายประเทศไทย รวมถึงการทำให้คนมอญเสียชื่อ เมื่อนั้นเราชาวไทยเชื้อสายมอญ พร้อมรวมพลังลุกขึ้นมาปกป้องประเทศชาติและอาสาช่วยงานราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ....โดย#สมิงนนทบุรีศรีรามัญ”
เปิดข้อมูลลึกแฉความจริง
ที่ไปที่มาเจ้ารัฐมอญ
ไม่เพียงแค่นั้นยังพบว่า เพจ “รามัญคดี-MON studies” เคยโพตส์ แฉเรื่องราวขบวนการแก๊งเจ้ามอญปลอมไว้ก่อนนี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 หรือเมื่อเกือบจะ 2 ปีที่แล้วที่ผ่านมา โดยระบุในเพจว่า "องค์รัชทายาทมอญ 'โผล่' กลางดงมะขวิด หลังโรงยี่เก" พร้อมทั้งทำเครื่องหมายคำถามในรูป นายเทพปะสันติ มหาทุน ไว้ด้วย สำหรับเนื้อหานั้นระบุว่า
“ไม่กี่วันมานี้ ปรากฏภาพข่าวการลงนามสัญญาร่วมทุนเหมืองแร่ดีบุกและทังสเตนในเขตรัฐมอญ ระหว่างบริษัทเอกชนไทยรายหนึ่งกับองค์รัชทายาทอาณาจักรรัฐมอญ "ท่านเทพปะสันติ มหาทุน...ผู้อ้างฐานันดรองค์รัชทายาทมอญผู้นี้คือใคร? เท่าที่ปรากฏหลักฐาน เดิมทีไทย พม่า และมอญ รวมทั้งนักเดินทางชาวยุโรปและตะวันออกกลาง รู้จักดินแดนมอญในนาม รามัญประเทศ หรือ รามัญเทศะ (Ramannadesa) ดังปรากฏในจารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ (ครองราชย์ พ.ศ.2013-2035) ส่วน "รัฐมอญ" (Mon State) เกิดขึ้นโดยการเรียกร้องของสามัญชนชาวมอญภายหลังพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2491 หย่อน 70 ปีมานี้ ขณะที่มอญเสียเอกราชแก่พม่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2300 กว่า 259 ปีมาแล้ว
ในปี พ.ศ.2300 พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่ายกทัพเข้าบดขยี้อาณาจักรมอญ ทำลายบ้านเมือง เข่นฆ่านักปราชญ์ราชบัณฑิต ตลอดจนประหารชีวิตพญาทะละ พระมหากษัตริย์ พระมเหสี องค์รัชทายาท ตลอดจนราชวงศ์มอญชนิดขุดรากถอนโคน เพื่อไม่ให้ฟื้นคืนราชอาณาจักรมอญได้อีก มีเพียง "พญาเจ่ง" โอรสในพระอนุชาพญาทะละ ซึ่งปกครองเมืองเตริน (อัตตรัน) หัวเมืองห่างไกล และยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี จึงได้รับอนุญาตให้รับราชการอยู่ใต้อำนาจพม่าต่อมา แต่ภายหลังคิดกอบกู้เอกราช ทว่ากระทำการไม่สำเร็จ จึงกลายเป็นกบฏ ต้องพาไพร่พลและราษฎรหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินสยาม เมื่อ พ.ศ.2317
หลังอังกฤษเข้าปกครองพม่าในฐานะอาณานิคมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อปี พ.ศ.2367 อังกฤษต้องการแบ่งพม่าออกเป็นส่วนๆ เพื่อง่ายต่อการปกครอง (divide and rule) โดยการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์มอญ ไทใหญ่ และยะไข่ขึ้นใหม่ เฉพาะในส่วนของมอญนั้นหาเชื้อสายกษัตริย์สำหรับปกครองรามัญประเทศที่จะตั้งขึ้นใหม่ไม่ได้ หลังอังกฤษสืบค้นโดยละเอียดแล้ว พบเพียงเชื่อสายพญาเจ่ง ที่รับราชการอยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 ตำแหน่งเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) และมีบุตรชายที่รับราชการสืบต่อมาคือ เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ซึ่งสืบเชื้อสายสกุล "คชเสนี" อยู่ในเมืองไทยจนทุกวันนี้
สกุล "คชเสนี" สืบเชื้อสายอยู่ในเมืองไทยจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษทำหนังสือขอตัวเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) กลับไปเป็นกษัตริย์ แต่ฝ่ายไทยปฏิเสธ ดังประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 62 หน้า 37 ว่าด้วยทางไมตรีกับฝรั่งในรัชกาลที่ 3 ระบุว่าพงศาวดารไทยบันทึกไว้ว่า...เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ปฏิเสธที่จะกลับไป ด้วยต้องการอยู่ทดแทนคุณข้าวแดงแกงร้อน จะขอฝังร่างบนแผ่นดินสยามชั่วลมหายใจสุดท้าย...แต่แท้จริงแล้ว เป็นด้วยรัชกาลที่ 3 ไม่ทรงอนุญาตให้กลับ มิเช่นนั้นแล้ว ไพร่พลมอญเรือนแสนที่อพยพมาก่อนหน้าก็จะตามกลับไป จะไปเป็นกำลังให้ฝ่ายอังกฤษและพม่า อันจะเป็นเสี้ยนหนามกับไทยในอนาคต ดังนั้นแล้ว องค์รัชทายาทหรือเชื้อพระวงศ์มอญที่พอจะสืบหาได้ใกล้เคียงที่สุดในตอนนี้ ก็คือ ทายาทในตระกูล "คชเสนี" แม้ว่าในปัจจุบันจะจืดจางเต็มที โดยเฉพาะความรักใส่ใจในเชื้อวงศ์หงสา
สายข่าวทหารพรรคมอญใหม่รายงานว่า นายวิมล หรือ วิมาน ผู้อ้างเป็นองค์รัชทายาทมอญผู้นี้ เกิดที่หมู่บ้านจ๊อจเตา (ภูเขาหิน) ในเมืองตะนาวศรี (ประเทศพม่า) หมู่บ้านมอญท่ามกลางหมู่บ้านแขก จึงเป็นมอญปนแขก พูดได้ทั้งภาษามอญและแขก และเมื่อมาอยู่เมืองไทยนาน จึงพูดไทยได้คล่อง ทำมาหากินกับความไม่รู้ของคนไทยอยู่ในเมืองไทยหลายสิบปี นักลงทุนไทยคุ้นเคยดีในฐานะ "นายพลมอญ" ส่วนคนมอญในประเทศพม่าคุ้นเคยดี ในฐานะ "นายพลไทย" องค์รัชทายาทมอญพลัดบัลลังก์แห่งนครปากเกร็ดบุรีที่แปดเปื้อน
น.อ.ชาวิช เข็มกำเนิด ผู้บริหารมูลนิธิอาสาบรรเทาภัย ออกมาชี้แจงว่า มูลนิธิฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขนวนการหลอกลวงให้ไปลงทุนในพม่าแต่อย่างใด เพียงแต่มีบุคคลบางกลุ่มเอามูลนิธิฯ ไปแอบอ้าง ดัดแปลงในการดำเนินงานซึ่งอาจส่อไปในทางไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดร.ปิยวัส ผดุงสรรพ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษมูลนิธิฯ กล่าวว่า มันมีคนแอบแฝงเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับ มูลนิธิฯ จนมีการแต่งตั้งทนายเพื่อดำเนินคดีกับคณะบุคคลที่ไปแอบแฝงกระทำความผิด และก็ได้ยกเลิกกลุ่มคนเหล่านั้นออกจากการเป็นสมาชิกของมูลนิธิฯ เรียบร้อยแล้ว