‘เสี่ยเจริญ’เร่งเกมยึดอาเซียน
จ่อแผนส่ง‘บิ๊กซี’บุกมาเลเซีย
“เสี่ยเจริญ” เร่งเกมยึดค้าปลีกอาเซียน ล่าสุด กางแผนส่ง “บิ๊กซี” บุกมาเลย์ ต่อยอดธุรกิจ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมจ่อลงทุนเพิ่มสาขากัมพูชา-เวียดนาม-ลาว รุกตะเข็บชายแดนเชื่อมเครือข่ายสาขาที่มี 1,200 แห่ง ส่วนในไทย จ่อ! อุ้มเอสเอ็มอี ช่วยพาไปทำตลาดต่างแดน
นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานคณะกรรมการ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในห้างบิ๊กซี เพื่อช่วยให้มีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งในประเทศ และ ขยายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยไปพร้อมกับสาขาของบิ๊กซีปัจจุบันที่มีทั้งในไทย ลาว และเวียดนาม ซึ่งมีความคุ้นเคยกับตลาดอย่างดี ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปเจรจาธุรกิจเพื่อหาช่องทางขายเอง ซึ่งอาจติดปัญหาหลายขั้นตอน โดยเฉพาะผู้ประกอบการบางรายที่อ่อนในเรื่องภาษา
ทั้งนี้ จึงได้จับมือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดโครงการ เอสเอ็มอี แมทซ์ชิ่ง เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ บิ๊กซี สาขารังสิต 2 เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เจรจาจับคู่ธุรกิจกัน ช่วยแก้ปัญหาหลักของผู้ประกอบการไทยที่ส่วนใหญ่ขายอยู่ในตลาดเดิมๆ และขาดโอกาสในการเข้าถึงช่องทางขายที่มีศักยภาพ และช่วยให้กระจายสินค้าได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายว่า จะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 1,000 ราย และจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของชาติ
“การดึงผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเข้ามาร่วมในครั้งนี้ เพราะเห็นว่าผู้ประกอบการที่มาจากรายเล็กๆ ย่อมแข็งแกร่งกว่ารายใหญ่ เนื่องจากผ่านการฝึกฝนมาตั้งแต่เริ่มต้น ย่อมรู้ปัญหา รู้อุปสรรค และมีคุณค่ามากกว่ารายใหญ่ๆ ที่หากไต่ขึ้นไปอีกจะมีความอันตราย เพราะถือว่าไต่ขึ้นไปสูงแล้ว ทำให้ยิ่งมีความเสี่ยงขึ้นไปอีก ดังนั้น บิ๊กซี ต้องมีการเพิ่มแผนก เพื่อช่วยให้คู่ค้าก้าวหน้าออกสู่นอกประเทศ ควบคู่ไปกับสาขาของบิ๊กซีในต่างประเทศด้วย โดยการทำธุรกิจจะต้องไม่หยุดอยู่กับที่ หากหยุดเมื่อไหร่ก็เท่ากับถอย เพราะคนอื่นก็เดินหน้าอยู่ตลอด”
นอกจากนี้ บิ๊กซี ยังมีแผนจะเข้าไปขยายการลงทุนธุรกิจในประเทศมาเลเซีย หลังจากที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น หรือ ทีซีซี กรุ๊ป โดยบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี มีการเข้าไปลงทุนซื้อโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วในมาเลเซียตั้งแต่ปี 2509 และได้ทำความร่วมมือกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายทางการค้าที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง
“บิ๊กซี เดินหน้าขยายธุรกิจสู่อาเซียน ซึ่งเป็นตลาดในระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตอีกมากมาย โดยเรากำลังประเมินสภาพตลาด ศักยภาพการแข่งขันว่าอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไหนที่พอจะมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจได้”
นายอัศวิน เตชะเจริญวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า ทิศทาง บิ๊กซี หลังจากนี้จะใช้ยุทธศาสตร์การบุกอาเซียน คือ มุ่งสร้างการเชื่อมโยงของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยการเชื่อมโยงในครั้งนี้ นับว่าเป็นแนวทางสำคัญในการขยายตัวของห้างค้าปลีก ซึ่งทำให้วิธีคิดในการมองตลาดเปลี่ยนไปจากการมองตลาดเป็นรายประเทศ เปลี่ยนมามองแบบอาเซียนเป็นหนึ่งเดียว
“บิ๊กซี มีความตั้งใจจะให้เข้าไปขยายห้างค้าปลีก ที่ประเทศกัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย โดยเป้าหมายคือการนำสินค้าและบริการของไทยไปให้เพื่อนบ้านอาเซียนที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการเชื่อมต่อ และสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในภูมิภาคอาเซียน”
ซึ่งปัจจุบัน บิ๊กซี และ บีเจซี ในประเทศไทย มีห้างค้าปลีกในเครือรวมทุกรูปแบบมากกว่า 1,200 สาขา สำหรับภูมิภาคอาเซียนมีการเชื่อมต่อกับหลายประเทศ เริ่มจากประเทศเวียดนาม ซึ่งมีห้างเอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต 19 แห่ง ร้านสะดวกซื้อบีสมาร์ทกว่า 170 สาขา และมีโอกาสที่จะขยายได้อีกจำนวนมาก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า จะมีสาขาได้ไม่ต่ำกว่าประเทศไทยที่มีไฮเปอร์มาร์เก็ตโดยรวมไม่ต่ำกว่า 300 - 400 สาขา เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่ ขนาดประชากรมากถึง 90 ล้านคน
ขณะที่ บีเจซี ส่วนใหญ่อยู่ในโฮจิมินห์ ประเทศลาว มีร้านสะดวกซื้อเอ็มพ้อยท์ มาร์ท 23 สาขา เป็นผู้นำตลาดในกรุงเวียงจันทน์ และแนวโน้มในการขยายสาขาทำได้อีกมาก โดยเฉพาะบิ๊กซี ประเทศกัมพูชา มีทำเลที่มีศักยภาพ 3-4 เมืองหลักไม่ว่าจะเป็น เสียมเรียบ พนมเปญ และบริเวณท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศกัมพูชา นับเป็นเมืองเกิดใหม่ที่กำลังมีการเติบโตสูงในอนาคต และมีการวางแผนจะเข้าไปเปิด บิ๊กซี ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเข้าไปลงทุนคาดว่า จะเป็น บิ๊กซี รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 3,000-4,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 200 - 300 ล้านบาทต่อสาขา
สิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินนโยบายดังกล่าวของ บิ๊กซี ประสบความสำเร็จได้ คือ การสร้างความแข็งแกร่งการขนส่งและกระจายสินค้า ทั้งในประเทศที่เข้าไปทำตลาด รวมถึงตามแนวตะเข็บชายแดนที่จะเป็นตัวเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่ง บิ๊กซี ก็ได้วางกลยุทธ์ในเรื่องนี้อย่างมีชั้นเชิง
สำหรับในไทยคงเป็นประเทศศูนย์กลางของกลุ่มทีซีซี ที่มีองค์ประกอบของธุรกิจครบทั้ง Value Chain คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และในขณะนี้ตลาดอาเซียน เวียดนาม ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศยุทธศาสตร์ที่กลุ่ม TCC มีครบเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศมาเลเซีย กำลังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะมีครบวงจรเช่นกัน ทั้งมีโรงงานผลิตสินค้าและบรรจุภัณฑ์หลายแห่ง มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าของเฟรเซอร์แอนด์นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) และปลายน้ำ ก็จะสมบูรณ์แบบ หากเกิดการลงทุนห้าง บิ๊กซี ขึ้น
การเดิมเกมของ บิ๊กซี ครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า เป็นการใช้ความสามารถของกรุ๊ปในการขยายธุรกิจแบบภาพใหญ่ ไม่ได้ไปเพียงแค่เเบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่ละบทบาทของแต่ละองค์กรในกรุ๊ป ก็เดินหน้าซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน
“การขยายธุรกิจเราคงไม่ได้มองแค่ในไทยอย่างเดียว แต่มองภาพใหญ่ทั้งภูมิภาคเอเชีย โดยที่ทุกประเทศต้องครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขณะเดียวกันยังต้องมองเรื่องการลงทุนแล้วคุ้มค่า หากใช้เม็ดเงินไปแล้วผลตอบแทนต้องได้คุ้มค่า เนื่องจากเรายังมีภาระหนี้อยู่ ไม่ได้มองว่าจะเปิดสาขาได้มากน้อยเท่าไหร่ แต่คงเป็นการสร้างผลกำไรมากกว่า”
ส่วนในประเทศ บริษัทมีแผนขยายสาขาและสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์รองรับค้าปลีกทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยเป้าหมายระยะยาวในการขนส่งสินค้าระหว่างสาขาภายในเวลา 1 - 2 ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มสาขาบริเวณชายแดนเพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อกับสาขาในแต่ละประเทศต่อไป โดยการลงทุนต่อสาขาจะอยู่ที่ประมาณ 200 - 300 ล้านบาท พื้นที่ 3,000 - 4,000 ตร.ม.
และล่าสุด บริษัทได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีในประเทศ ผ่านโครงการ “Big C Big Success ธุรกิจไทย โตไปด้วยกัน” มีแผนเดินสายประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ พร้อมชูสิทธิพิเศษ เช่น ยกเว้นค่าแรกเข้าในบิ๊กซี การให้คำแนะนำทางธุรกิจ และโอกาสเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมถึงการเป็นคู่ค้ากับ บิ๊กซี ในการไปในภูมิภาค ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ โดยคาดว่าจะมีเอสเอ็มอีเข้าร่วมประมาณ 500 ราย คิดเป็น 10% ของคู่ค้าเอสเอ็มอีที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 5,000 ราย