'เดอะฟาวเดอร์'สบช่องออนไลน์โต
ลุยขยายฐานชูจุดเด่นบริการครบวงจร
“เดอะฟาวเดอร์” ธุรกิจตลาดแบบตรงขายผ่านออนไลน์น้องใหม่ ลุยขยายฐานลูกค้าหลังเปิดกิจการมา 2 ปี ชูจุดเด่นบริการครบวงจร ทั้งวางแผนการตลาด ผลิตสื่อทุกรูปแบบและราคาถูก การันตีเข้าถึงผู้บริโภค 100% ดัน “เซห์โร่” แบรนด์เสริมอาหารของบริษัท ตีตลาดเอเอซี มั่นใจยอดรายได้สิ้นปีแตะ 9 หลัก
นายสรรเสริญ จตุรภัทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะฟาวเดอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดดำเนินธุรกิจในรูปแบบ ดิจิทัลเอเจนซี่ หรือ เอเจนซี่ออนไลน์มาแล้ว 2 ปี โดยรับผลิตสื่อออนไลน์ ทำคอนเทนท์ กราฟิก สื่อวิดีโอ ไวรัล และอีกหลากหลาย รวมทั้งวางแผนการทำตลาดให้กับลูกค้า และวัดผลผ่านช่องทางออนไลน์ให้ด้วย ซึ่งช่องทางหลักๆ ที่บริษัทให้บริการลูกค้าที่ผ่านมา คือ การทำสื่อผ่านเฟซบุ๊ก แต่ก็อยู่ที่ลูกค้าว่าต้องการทำผ่าน เว็บไซต์ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากเปรียบเทียบสัดส่วนจำนวนผู้ชมผ่านเฟซบุ๊กระหว่างลูกค้าทำเอง กับ ใช้บริการ บริษัทพบว่า ยอดชมจากการทำสื่อของบริษัทจะเพิ่มขึ้นกว่า 100% โดยขณะนี้ เดอะฟาวเดอร์ มีลูกค้ามากกว่า 50 ราย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ไทย
“ระยะเวลา 2 ปี ถือว่าเรายังเป็นน้องใหม่ ซึ่งธุรกิจของเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การทำตลาดออนไลน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กับ ส่วนที่เป็นเอเจนซี่ให้กับลูกค้า ซึ่งในส่วนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีลูกค้าที่หลากหลาย เพราะลูกค้าเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ มักหันมาทำตลาดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มากขึ้น แต่เราก็จะมีการสกรีนแบรนด์สินค้าด้วยว่า มีมาตรฐานมากแค่ไหน รวมไปถึงการสกรีนทัศนคติเจ้าของแบรนด์ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะชี้ให้เห็นว่า ลูกค้าอยากสร้างแบรนด์มากแค่ไหน หรือต้องการแค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว”
โดยหน้าที่ของบริษัท คือ การทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ที่สร้างยอดขายมากที่สุดได้แก่ กลุ่มเสริมอาหารและกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณแม่หลังคลอด ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 50% จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัทตัดสินใจแบ่งแยกการทำงานออกเป็นสองกลุ่มอย่างที่กล่าวมาข้างต้น
“สิ้นปีนี้ เราคาดว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20 ราย เนื่องจากงานด้านการตลาดใน 1 เดือนจะมีลูกค้าเข้ามาประมาณ 7 - 8 ราย แต่เราจะไม่รับลูกค้ามากเกินไป เพราะต้องการควบคุมงานให้มีคุณภาพ จุดเด่นของเรา คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการจ้างเอเจนซี่ใหญ่ๆ โดยมีแพ็คเกจการทำกราฟิกเริ่มต้นอยู่ที่ 9,000 บาท เฉพาะในเฟซบุ๊ก ขณะที่แพ็คเกจด้านการทำสื่อมีตั้งแต่ 3,000 - 200,000 บาท ทั้งต่อครั้งและต่อเดือน ขึ้นอยู่กับการเจรจา ส่วนงานดิจิทัลเอเจนซี่ ปีนี้คาดว่าจะปิดรายได้ที่จำนวน 8 หลัก แต่หากรวมยอดขายจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เซห์โร่ ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัท คาดว่ายอดรายได้น่าจะอยู่ที่จำนวน 9 หลัก”
สำหรับทิศทางการเติบโตของตลาดออนไลน์นั้น ปัจจุบันมีการใช้งบทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นปีละ 50% ซึ่งในส่วนของบริษัทเองถือว่า เติบโตขึ้น 100% เนื่องจากเพิ่งจะเปิดดำเนินการได้เพียง 2 ปี อีกทั้งงบโฆษณาผ่านช่องทางนี้ ถือว่าถูกกว่าช่องทางออฟไลน์มาก และวัดผลได้ง่ายกว่า ซึ่งทั้ง 2 ส่วน ถือเป็นจุดขายของบริษัท
“ช่องทางออนไลน์โดยรวมมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น บริษัทน้องใหม่ความสำเร็จอาจจะยากขึ้น ในอนาคตการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น ราคาก็สูงและเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างสเปเชียลลิสต์ ตลาดรวมออนไลน์ปัจจุบันเป็นหลักหมื่นล้านบาทและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องบอกว่า เราไม่สามารถละทิ้งออฟไลน์ได้ แม้ปัจจุบันในประเทศไทยออฟไลน์จะยังมีสัดส่วนมากกว่าออนไลน์ในสัดส่วน 70:30 แต่ในอนาคตภายใน 5 ปี สัดส่วนนี้จะเปลี่ยนไป สำหรับตลาดประเทศไทยช่องทางออนไลน์เฟซบุ๊กยังเป็นเบอร์หนึ่ง รองลงมาคือ เว็บไซต์”
ส่วนผลิตภัณฑ์ “เซห์โร่” ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของบริษัท หลังจากทำตลาดมาแล้ว 2 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ เพราะสามารถสร้างการรับรู้ผ่านกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักเพาะกาย หรือกลุ่มฟิตเนส อีกทั้งมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เพราะเป็นการนำผลิตภัณฑ์หลายชนิดมารวมเป็นหนึ่งหน่วยบริโภครวมอยู่ในซองเดียวกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังติดต่อกับนักกีฬาทีมชาติ เพื่อดึงเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์
“เรากำลังเน้นขยายตลาด เซห์โร่ ไปยังต่างประเทศในกลุ่มเออีซี คือ พม่าและลาว ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ มีส่วนผสมที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา และผลิตในประเทศไทย ตอนนี้ เซห์โร่ มีลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 30,000 ราย โดยทั้งหมดเป็นลูกค้าเฉพาะในช่องทางออนไลน์”