'เทรเซอร์'ปั้นแบรนด์‘เรสเทียร์’
ลุยขายที่นอนยางพาราไฮเอนด์
"เทรเซอร์" รุกตลาดเครื่องนอน ปั้นแบรนด์ตัวเอง “เรสเทียร์” ขึ้นตลาดระดับลักส์ชัวรี่ ประเดิมเปิดตลาดจีนก่อน ด้วยการเปิดแฟล็กชิพสโตร์ที่เซี่ยงไฮ้ ล่าสุด กลับมารุกตลาดไทย เล็งเปิดแฟล็กชิพสโตร์ในศูนย์การค้าระดับบน เจาะตลาดโรงแรมเป็นหลัก พร้อมสยายปีกสู่ตลาดออนไลน์
นายธีระทัศน์ รังสิวรโรจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เทรเซอร์โปรดักส์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องนอนยางพารา แบรนด์ เรสเทียร์ (RESTIER) ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนที่จะขยายตลาดที่นอนแบรนด์เรสเทียร์ในประเทศไทยอย่างจริงจัง จากฐานธุรกิจเดิมที่เป็นผู้ผลิตไม่ได้สร้างแบรนด์ตัวเอง เนื่องจากตลาดลักส์ชัวรี่ของไทยโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มโมเดิร์นลีฟวิ่งเติบโตมาก ซึ่งผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ต้องการสินค้าที่ดีต่อสุขภาพโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่นอน จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ที่นอนที่ทำมาจากยางพาราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นายพาสิษฐ์ รุ่งอรุณเรืองศรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราไปสร้างแบรนด์ทำตลาดที่จีนเป็นประเทศแรก 1 ปีแล้ว ปีนี้ (2560) จึงเริ่มมาทำตลาดไทยประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา และจากนี้จะขยายตลาดต่างประเทศเช่นที่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ตั้งเป้าหมายเป็นลิฟวิ่งแบรนด์ลักส์ชัวรี่ในเอเชียภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่เป็นเพียง เบดดิงแบรนด์ เท่านั้น (Bedding Brand) โดยใช้งบการตลาดรวมกว่า 100 ล้านบาททั้งในไทยและที่จีน
สำหรับการบุกตลาดประเทศไทย ได้จำหน่ายผ่านร้านซองเดอร์ลิฟวิ่งพระราม 9 ร้านโมทีฟสาขาเอราวัณ และเตรียมเข้าโมทีฟสาขาเซ็นทรัล เอมบาสซี และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทเองด้วย ส่วนปีหน้า (2561) มีแผนจะเปิดแฟล็กชิพสโตร์ 1 แห่ง เจาะศูนย์การค้าระดับบน การขยายเข้าช่องทางโรงแรม ด้วยการนำผลิตภัณฑ์เรสเทียร์ไปใช้ในห้องพักโรงแรม และการจัดอีเว้นท์ต่าง ๆ การร่วมมือกับทางโครงการอสังหาริมทรัพย์หรือแบรนด์ต่าง ๆ ในการทำคอลลาบอเรชั่นร่วมกัน เป็นต้น ขณะเดียวกันจะมีการขยายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเปิดตัวหมอนออแกนิคที่มีการควบคุมการดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในช่วงเดือนเมษายน และในช่วงไตรมาส 3 คาดว่าจะเปิดตัวครบกลุ่ม
ปัจจุบันเรสเทียร์มีสินค้า 3 กลุ่มคือ 1. หมอน ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายสงที่สุด ที่นอน เป็นอันดับที่สอง และที่รองนอน ทั้งหมดทำมาจากยางพารา ซึ่งสินค้า หมอนนอนและหมอนข้าง มี 6 เอสเคยู ราคาหมอนนอนตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง 4,900 บาทต่อชิ้น 2. ที่นอน มี 3 รุ่น คือ รุ่นยามา ขนาด 3.5 ฟุต ราคา 1 แสน 5 หมื่นบาทต่อหลัง รุ่นดุสิต ขนาด 3.5 ฟุต ราคา 1 แสน 8 หมื่นบาท และสูงสุดคือ รุ่นนิมมาน ขนาด 220 เซนติเมตร คูณ 200 เซนติเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 350,000 บาทต่อหลัง และ 3. ทอปเปอร์ ที่รองนอน ขนาดความหนา 7.5 กับ 10 เซนติเมตร
สำหรับตลาดต่างประเทศ หลังจากที่เปิดตลาดจีนไปแล้วเพียงปีเศษ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ซึ่งตลาดจีนถือเป็นตลาดที่แข่งขันสูงมาก แม้ว่าจะเป็นตลาดใหญ่ก็ตาม มีแบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก แต่แตกต่างกับเราตรงที่แบรนด์อื่นไม่ใช่ผลิตมาจากยางพารา 100% แต่บริษัทฯ ชูจุดแข็งและความแตกต่างที่เป็นที่นอนจากยางพารา 100% ผลิตจากโรงงานที่ฉะเชิงเทรา โดยใช้ยางพาราจากภาคใต้ ซึ่งแบรนด์ใหญ่ ส่วนมากจะมาจากต่างประเทศ เช่น ซาวอย จากอังกฤษ แฮสเทนส์จากสวีเดน และวีสปริง เป็นต้น
ทั้งนี้ การทำตลาดจีนได้เปิดแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกที่เซี่ยงไฮ้ เป็นช่องทางหลัก และมีการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ เอง รวมไปถึงการทำอี-คอมเมิร์ซ ผ่านทางวีแชทของจีน ส่วนปีหน้ามีแผนที่จะเปิดแฟล็กชิพสโตร์เพิ่มอีกในเมืองอื่น เช่น ปักกิ่ง กวางโจว เป็นต้น