น้ำท่วมพ่นพิษตัวเลขเคลมวิ่งสูงปรี๊ด
ส.ประกันวินาศฯ'สั่งจ่ายนาข้าว 224 ล้าน.
"สมาคมประกันวินาศภัยไทย" ประเดิมจ่ายเคลมงวดแรกแก่เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วม 224 ล้าน. เยียวยาไปแล้ว 5 จังหวัด ภาคอีสานรับศึกหนักสุดพื้นที่เสียหายกว่า 178,463 ไร่ ขณะที่เร่งรัด 41 บริษัทประกันวินาศนัย จ่ายเคลมรถยนต์จมน้ำหลังฝนถล่มเมืองกรุง 3,184 คัน รวมเม็ดเงินกว่า 45 ล้าน.พร้อมกำชับปฏิบัติตามมาตรฐานการซ่อมรถยนต์น้ำท่วม ห้ามเอาเปรียบประชาชน
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า สมาคมประกันวินาศภัยไทยพร้อมด้วยบริษัทประกันภัย 24 บริษัทร่วมมือกับภาครัฐจัดทำโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 เพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งปัจจุบันสมาคมได้รับรายงานข้อมูลการรับประกันภัยในโครงการประกันภัยข้าวนาปี ประจำปี 2560 ของทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ที่จะสิ้นสุดการรับประกันภัยในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ปรากฏว่า มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน 1.58 ล้านราย บนพื้นที่เอาประกันภัย จำนวน 23.7 ล้านไร่ หรือมีเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ 2,137 ล้านบาท
และจากสถานการณ์ฝนตกหนักเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือจนสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นจำนวนมาก สมาคมจึงได้ประสานงานกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนและพื้นที่ปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างรวดเร็วที่สุด
“โดยพบว่า มีเกษตรกรได้รับความเสียหายจำนวน 22,423 ราย และพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายสูงสุด 5 จังหวัดแรก ได้แก่ 1. จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 44,665 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 56,277,991.51 บาท หรือประมาณ 25% 2. จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 36,973 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 46,585,915.28 บาท หรือประมาณ 21% 3. จังหวัดสกลนคร จำนวน 34,671 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 43,685,299.51 บาท หรือประมาณ 19% 4.จังหวัดนครพนม จำนวน 19,545 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 24,626,499.53 บาท หรือประมาณ 11% 5.จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 18,433 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 23,226,043.81 บาท หรือประมาณ 10% และพื้นที่อื่น ๆ อีกจำนวน24,176 ไร่ ค่าสินไหมทดแทน 30,462,066.40 บาท หรือประมาณ 14%” นายจีรพันธ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฯ มอบหมายให้ นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นผู้แทนในการส่งมอบเงินค่าสินไหมทดแทนครั้งที่ 1 ในโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 21 จังหวัด ยอดค่าสินไหมทดแทนรวม 224 ล้านบาท ให้กับ นายนุกูล ปาระชาติ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำไปเยียวยาให้กับเกษตรกรเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งนี้ การดำเนินจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสมาคมฯ มีการพัฒนาระบบการเชื่อมข้อมูลการทำประกันภัยข้าวนาปีกับ ธ.ก.ส. และเชื่อมข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยจะรายงานข้อมูลความเสียหายรายแปลงในพื้นที่ที่รัฐประกาศเป็นเขตภัยพิบัติกับกรมส่งเสริมการเกษตร จึงทำให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อมในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้กับเกษตรกรได้อย่างถูกต้อง สำหรับเกษตรกรสามารถตรวจสอบสถานะการประกันภัย และสถานะการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ง่ายและรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์เคลมแอปพลิเคชั่น “มะลิ” บนโทรศัพท์มือถือได้ที่ rice.tgia.org
ส่วนกรณีฝนตกหนักในพื้นที่กรุงเทพมหานครช่วงวันที่ 13 - 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนใน กทม.ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในส่วนของรถยนต์มีรถยนต์ถูกน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก ทางสมาคมฯ ได้รับหนังสือจากสำนักงาน คปภ.ให้เร่งติดตามสถานการณ์และประสานงานกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีรถยนต์ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมดังกล่าว ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา พบรายงานว่า มีรถยนต์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ถูกน้ำท่วมจำนวน 3,184 คัน ซึ่งทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัย 41 บริษัท คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 45,598,009 บาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม จะยึดถือแนวปฏิบัติตามมาตรฐานการซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000 - 10,000 บาทมีรายการที่ต้องดำเนินการ 15 รายการ เช่น ตรวจสอบแบตเตอรี่ (ถอดขั้ว/ตรวจสอบน้ำกลั่น/ไฟ-ชาร์ต) ทำความสะอาดตัวรถ ล้าง-อัด-ฉีด ขัดสี ถอดเบาะนั่ง หน้า-หลัง ถอดคอนโซลกลาง (คันเกียร์) ถอดพรมในเก๋ง-ซักล้าง-ตาก-อบแห้ง ถอดคันเร่ง (รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์) ถอดลูกยางอุดรูพื้นรถและทำความสะอาด ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง-เป่าแห้ง ตรวจสอบทำความสะอาดระบบเบรก 4 ล้อ/ผ้าเบรก ทำความสะอาดสายไฟ-ปลั๊กไฟด้วยน้ำยาเคมีภัณฑ์ ตรวจสอบชุดท่อพักไอเสีย (แคทธาเรติค)
ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000 - 20,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 26 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก 15 รายการในระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง-เกียร์-เฟืองท้าย กรองน้ำมันเครื่อง-กรองอากาศ-กรองเบนซิน-กรองโซล่า ตรวจระบบจุดระเบิด หัวเทียน จานจ่าย หัวฉีด ตรวจสอบชุดเพลาขับ ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 บาน ตรวจชุดสวิทซ์สตาร์ท-กล่องควบคุมไฟ- กล่องฟิวส์ ถอดทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย ถอดทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า ตรวจสอบทำความสะอาดเบาะ ถอดทำความสะอาด (ไดร์สตาร์ทและไดร์ชาร์จ) เพื่อไล่ความชื้น
ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000 - 30,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 39 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบ GPS (ที่ติดมากับรุ่นรถ) ตรวจสอบไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์ต ลูกรอก ตรวจสอบทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง (ไฟหน้า-ท้าย-เลี้ยว) ตรวจเช็คระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า ถอดตรวจเช็คตู้แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ ถอดหน้าปัดเรือนไมล์ เกจ์ ถอดตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟขั้วต่าง ๆ ตรวจเช็คระบบเครื่องเสียง-วิทยุ-แอมป์-ลำโพง ตรวจเช็คระบบเบรก (ABS) ตรวจชุดหม้อลมเบรก/ แม่ปั้มบน-ล่าง ตรวจสอบลูกปืนล้อ-ลูกหมาก-ลูกยางต่างๆ ผ้าหลังคา/แมกกะไลท์
ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป มีรายการที่ต้องดำเนินการ 40 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A – C มา 1 รายการ คือ ทำสี (กรณีสีรถได้รับความเสียหาย) ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทผู้รับประกันภัยอาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยก็ได้ และระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้บริษัทผู้รับประกันภัยจะคืนทุนประกันภัยให้กับผู้รับประกันภัยสถานเดียว
ทั้งนี้ จากรายงานพบว่า รถยนต์ส่วนใหญ่ 70% จากจำนวน 3,155 คัน ถูกน้ำท่วมในระดับ A-B จึงกำชับให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวเร่งรัดในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วย
“ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ที่จะได้รับความคุ้มครองกรณีภัยจากน้ำท่วม ต้องเป็นกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 หรือ ประเภท 3 หรือประเภท 2+ หรือ 3+ ที่ซื้อความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ (ภัยน้ำท่วม) เพิ่มเติม ก็จะได้รับความคุ้มครองเช่นกัน สำหรับประชาชนซึ่งรถยนต์ที่เสียหายไม่ได้ทำประกันหรือประกันภัยไม่ครอบคลุมก็สามารถใช้แนวปฏิบัติตามมาตรฐานการซ่อมรถยนต์ข้างต้นในการป้องกันมิให้อู่ซ่อมรถยนต์เรียกค่าซ่อมเกินความเป็นจริง"
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภัยน้ำท่วมเป็นเรื่องที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นและก่อความเสียหายได้อีก จึงขอแนะนำให้ประชาชนบริหารความเสี่ยงด้วยระบบประกันภัย โดยในส่วนของประกันภัยรถยนต์ควรเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ำท่วมด้วย