'BBL'ฟันกำไรไตรมาส 3 ทะลุเป้า
ฝั่ง'AIA Group'โชว์ธุรกิจใหม่โตพรวด
"ธนาคารกรุงเทพ" เผยผลกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) งวดไตรมาส 3/60 อยู่ที่ 8,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% ด้านกลุ่มบริษัทเอไอเอมูลค่าธุรกิจใหม่โต 20% เป็น 824 ล้านเหรียญสหรัฐ และอัตรากำไรมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 8.4 จุด คิดเป็น 59.1% ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวมเพิ่มขึ้น 15% เป็น 6,534 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมส่งสัญญาณเขย่ามาร์เก็ตแชร์จับมือรุกขายประกันผ่านธนาคารระยะยาวเวลา 15 ปี หนุนเบี้ยเติบโตเพิ่มขึ้น
ผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3/60 ของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย พบว่า มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 16,825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.30% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 11,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% สาเหตุหลักจากกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ โดยส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมจากบริการกองทุนรวมและบริการประกันผ่านธนาคาร และค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 11,939 ล้านบาท ลดลง 1.3% ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 41.9% ส่งผลให้กำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) มีจำนวน 8,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,938,619 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงปีก่อน ด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพคิดเป็น 3.8% ของเงินให้สินเชื่อรวม โดยธนาคารยังคงติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดและรักษาระดับเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารอยู่ที่ 135,840 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ของเงินให้สินเชื่อ ด้านเงินกองทุนในเดือนกันยายน 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศเรื่องแนวทางการระบุและกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบ (Domestic Systemically Important Banks: D-SIBs) โดยกำหนดให้ธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบต้องดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อรองรับความเสียหาย (Higher loss absorbency) โดยให้ทยอยดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนส่วนเพิ่มอีก 0.5% ในแต่ละปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 จนอัตราส่วนเพิ่มเป็น 1% ในวันที่ 1 มกราคม 2563
ทั้งนี้ สำหรับธนาคารหากนับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3/60 รวมเข้าเป็นเงินกองทุนแล้ว อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณ 19.1% 17.3% และ 17.3% ตามลำดับ ทั้งนี้ เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับที่สามารถรองรับการดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่มตาม D-SIBs เรียบร้อยแล้ว สำหรับส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 มีจำนวน 393,019 ล้านบาท คิดเป็น 12.8% ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 205.89 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 7.34 บาท จากสิ้นปีที่แล้ว
ขณะที่ นายอึง เค็ง ฮุย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า เอไอเอกรุ๊ปมีอัตราการเติบโตจากผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3/60 มีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 20% เป็น 824 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ยอดเยี่ยมสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตของกลุ่มบริษัทเอไอเอได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะเอไอเอประเทศจีนตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุด ซึ่งมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นผลมาจากผลผลิตของช่องทางตัวแทนที่สูงขึ้น บวกกับจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น ผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นผลโดยตรงจากการดำเนินกลยุทธ์ด้านการสร้างและพัฒนาตัวแทนเต็มเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวแทนสามารถให้บริการลูกค้าและตอบสนองความต้องการด้านการเงินของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนได้อย่างมืออาชีพ
สำหรับ เอไอเอ ฮ่องกง ยังคงมีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลข 2 หลัก โดยได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่องทางตัวแทนและพันธมิตรทาธุรกิจ การเติบโตในกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน รวมถึงอัตราการเติบโตในช่องทางที่ปรึกษาการเงินอิสระสำหรับลูกค้ารายบุคคล ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของเราตามที่ได้ประกาศในผลประกอบการครึ่งปีแรก ผลการดำเนินงานของช่องทางตัวแทนได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ของเราเพิ่มมากขึ้น
“สำหรับเอไอเอประเทศสิงคโปร์อัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/60 ของปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของช่องทางตัวแทนทั้งในด้านของผลผลิตของตัวแทนและจำนวนตัวแทนที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อัตราการเติบโตมูลค่าธุรกิจใหม่ของประเทศไทยลดลงในไตรมาส 3/60 และเรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางตัวแทนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นช่องทางที่เราเป็นผู้นำในตลาด
และเอไอเอมาเลเซีย มีอัตราการเติบโตมูลค่าธุรกิจใหม่อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจประกันชีวิตควบการลงทุน (unit-link) ทั้งในช่องทางตัวแทนและช่องทางธนาคาร ในขณะที่ธุรกิจในประเทศอื่นๆ ยังคงมีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่แข็งแกร่งเช่นกัน ด้วยผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในหลายๆ ประเทศ ซึ่งรวมถึง อินโดนีเซีย เกาหลี และเวียดนาม “ทำให้เบี้ยประกันภัยใหม่รับปีแรกเติบโตเพิ่มขึ้น3% เป็น 1,367 ล้านเหรียยสหรัฐ และมีอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 8.4 จุด คิดเป็น 59.1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/60 ของปี 2559 การเติบโตของอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางประชากรศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ ที่มีความหลากหลายขึ้น อัตรากำไรของมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุด (ณ วันที่ 31 ส.ค.60)เปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 9% ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้น 15% เป็น 6,534 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน”นายอึงเค็งฮุย กล่าว
ด้านนายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า การร่วมมือของกลุ่มบริษัทเอไอเอกับธนาคารกรุงเทพ ในการรุกขายประกันผ่านแบงก์แอสชัวรันส์เป็นเวลา 15 ปี เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเอไอเอแก่ลูกค้าในประเทศไทยผ่านเครือข่ายสาขา 1,200 สาขาทั่วประเทศ จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ของเอไอเอ ควบคู่ไปกับช่องทางตัวแทนที่บริษัทดำเนินการมายาวนานและเป็นผู้นำในตลาดนี้ ในขณะเดียวกันก็จะเปิดโอกาสให้ เอไอเอ ได้สนับสนุนคนไทยอีกเป็นจำนวนมากให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และมีอายุยืนยาว จนสร้างเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นแน่นอน
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ลูกค้าของธนาคารในปัจจุบันมีความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการประกันชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการสะสมความมั่งคั่ง การออมเพื่ออนาคต และการสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัว โดยธนาคารและเอไอเอ จะผสานความเชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารสามารถเลือกแผนบริหารการเงินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกช่วงชีวิต ซึ่งความร่วมมือกับ เอไอเอ จะทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการออมที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารกรุงเทพจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ทันสมัยและหลากหลายของเอไอเอต่อลูกค้าของธนาคารจำนวนหลายล้านรายทั่วประเทศ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าบุคคลที่กว้างขวางลำดับต้น ๆ ในประเทศไทย โดยธนาคารกรุงเทพมีบริษัท Citigroup Global Markets Asia เป็นบริษัทที่ปรึกษา ในขณะที่ เอไอเอ มีบริษัท Evercore Partners International LLP เป็นบริษัทที่ปรึกษา
ด้าน ดร.ศิริ กำจรเจริญดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากได้รับการเปิดเผยจากธนาคารกรุงเทพถึงการบรรลุข้อตกลง ในการทำสัญญาการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านช่องทางธนาคารกับคู่ค้าเพิ่มเติมจากเดิมที่ธนาคารเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของบริษัท โดยที่ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทที่เสนอขายผ่านธนาคารอยู่ในปัจจุบันคิดเป็นมากกว่า 90% ของเบี้ยประกันรับรายใหม่ที่ขายผ่านช่องทางธนาคารทั้งหมดในระหว่างปี 2559 ยังคงอยู่ในข้อตกลงที่จะได้รับการเสนอขายผ่านสาขาทั่วประเทศของธนาคารต่อไป ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อส่วนใหญ่ แก่ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพต่อไป
และการที่ธนาคารมีพันธมิตรในการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพิ่มขึ้น เพื่อเติมเต็มและช่วยพัฒนาสินค้าที่หลากหลายขึ้นในการให้บริการต่อลูกค้าธนาคาร อีกทั้งช่วยพัฒนาและเสริมทักษะในการประกอบธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีคุณภาพให้แก่ธนาคาร ถือเป็นประโยชน์ต่อธนาคารและกลุ่มพันธมิตรในระยะยาวที่จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้บริการลูกค้าธนาคารได้ดียิ่งขึ้น อันจะนำมาซึ่งการขยายตัวของธุรกิจโดยรวมร่วมกัน นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายและส่งเสริมให้สถาบันการเงินทำธุรกิจนายหน้าประกันชีวิตโดยเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตมากกว่าหนึ่งแห่งเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค