‘ตลาดแอร์’เร่งปรับทิศ
หนีเศรษฐกิจอากาศไม่เอื้อ
ตลาดแอร์ปรับทิศหนีติดลบ เศรษฐกิจ อากาศไม่เอื้อ “ซัยโจ เด็นกิ” เบนเข็มลุยส่งออกเพิ่มหวังกระจายความเสี่ยง คาดปี2561 มียอดขายจาก 2,000 ล้านบาท เป็น 3,000 ล้านบาท และมีสัดส่วนส่งออกจาก 40% เป็น50% ด้าน “แอลจี” ลุยกิจกรรม 2 เดือนสุดท้ายต่อเนื่อง พร้อมกับเน้นสินค้านวัตกรรมจับกำลังซื้อตลาดกลางเป็นหลัก คาดสิ้นปีเติบโต 3-4% จาก 20,000 ล้านบาทปีที่แล้ว เชื่อภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปลายปีฟื้น ติดลบ1% จาก 10 เดือนติดลบ 4%
นายธันยวัฒน์ จิตติพลังศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อ ซัยโจ เด็นกิ เปิดเผยว่า แนวทางดำเนินธุรกิจนับจากนี้จะเน้นส่งออกเป็นหลัก เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจและกำลังซื้อไทยที่ยังไม่ฟื้น รวมทั้งสภาพอากาศไม่เป็นใจ จนทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ปีนี้ติดลบ 20% สูงสุดในรอบ 15 - 20 ปี ตั้งเป้าหมายปี'61 มียอดขายจาก 2,000 ล้านบาท เป็น 3,000 ล้านบาท และมีสัดส่วนส่งออกเพิ่มจาก 40% เป็น 50%
“ปีนี้พบว่ายอดจำหน่ายแอร์ในภาพรวมจะมีประมาณ 1.2 - 1.3 ล้านเครื่อง ลดลง 20% ซึ่งหากมองในแง่มูลค่าพบว่าแอร์บ้านลดลงมากที่สุด 25% อยู่ที่ประมาณ 15,000 - 20,000 ล้านบาท เนื่องจากขายไม่ดีทำให้ผู้ประกอบการต้องลดราคาขายให้ถูกลงเพื่อระบายสินค้า”
ทั้งนี้ ปัจจุบันได้ส่งออกไปแล้ว 30 ประเทศทั่วโลก อาทิ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และปีหน้ามีแผนขยายในยุโรปเพิ่ม พร้อมกับศึกษาตลาดในเยอรมนีและอิตาลี โดยจะเห็นว่าเน้นทำตลาดประเทศที่มีกำลังซื้อสูงเป็นหลัก เนื่องจากต้นทุนการผลิตของบริษัทค่อนข้างสูง ทำให้สินค้าราคาแพง ซึ่งไม่เหมาะกับตลาดอาเซียนที่ต้องการสินค้าราคาถูกและการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องราคาที่ต้องแข่งกับจีน
นอกจากนี้ยังใช้เงินลงทุนปีละ 100 - 150 ล้านบาท ในการวิจัยพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ที่บริโภคเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากช่วยประหยัดพลังงานได้ 40 - 50% และมีระบบฟอกอากาศที่ช่วยเรื่องสุขภาพ รวมทั้งระดับราคาเริ่มใกล้เคียงกับแบบธรรมดาหรือต่างกัน 10 - 15% ต่างจากช่วง 3 - 4 ปีก่อนที่ราคาต่างกัน 30 - 40% จึงทำให้ผู้บริโภคจับต้องได้ง่ายขึ้น ตั้งเป้าหมายปี'60 มียอดขายจากระบบอินเวอร์เตอร์เพิ่มจาก 20% เป็น 30% และเพิ่มเป็น 100% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“เราเชื่อว่าระบบอินเวอร์เตอร์จะค่อย ๆ มีสัดส่วนยอดขายมากขึ้น จนในที่สุดมีสัดส่วนที่ 100% ในอีก 5 ปีนับจากนี้ เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศขณะนี้ ยกตัวอย่าง ประเทศญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนยอดขายอินเวอร์เตอร์ 99%, ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ 70 - 80% และสิงคโปร์ 70 - 80%”
สำหรับช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ เน้นทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเท่านั้น เนื่องจากไม่ใช่ช่วงหน้าขายและคนไทยยังไม่มีอารมณ์จับจ่าย ทำให้ต้องรอจังหวะเพื่อไปใช้งบการตลาด 50 - 60 ล้านบาท ในปี'61 สำหรับใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมการขายต่าง ๆ พร้อมกับเปิดตัวสินค้าใหม่มากถึง 50 รายการ ทั้งแอร์บ้านและแอร์ขนาดกลาง หลังจากในปี'60 นี้แทบจะไม่ใช้งบโฆษณาเลยหรือใช้เพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น เพราะมองว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่เอื้อแก่การจับจ่าย
นายธันยวัฒน์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปใช้น้ำยาแอร์ อาร์ 32 ได้ทั้งหมด เพื่อช่วยลดโลกร้อน และไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ รวมทั้งเปลี่ยนมาใช้ระบบอินเวอร์เตอร์ เป็นแอร์ที่ช่วยฟอกอากาศ และจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสมาร์ทแอร์ที่ควบคุมการปิด - เปิดผ่านมือถือในที่สุด
นายนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังทำกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง เช่น ให้สิทธิพิเศษผ่อนนาน 24 เดือน ให้เงินคืน (แคชแบ็ค) และลุ้นโชคเที่ยวเกาหลี เป็นต้น ซึ่งหลังจากการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายจากต้นปีที่ผ่านมาควบคู่ไปกับเปิดตัวสินค้าใหม่ ทำให้คาดว่าสิ้นปี'60 นี้จะมีรายได้เติบโตประมาณ 3 - 4% จากปีรายได้อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ในปี'59
ขณะที่ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น คาดว่าปีนี้ติดลบประมาณ 1% เริ่มฟื้นตัวจากช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาที่ตลาดติดลบมากถึง 4% เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเริ่มเห็นผล ทำให้ภาพรวมกำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น โดยสินค้าแต่ละกลุ่มเริ่มขายดี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีนวัตกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีระบบอินเวอร์เตอร์อย่างเครื่องปรับอากาศ (แอร์) และตู้เย็น ส่วนทีวีกลุ่มที่ขายดีก็จะเป็นระบบ 4 เค ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดขายแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์บริษัทมียอดขายเติบโต 30% ขณะที่ยอดขายทีวีที่เป็นระบบ 4 เค บริษัทเติบโตสูงถึง 56% เช่นเดียวกับเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ที่มียอดขายเติบโตอยู่ที่ 21%
“ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังปี'60 นี้เริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้น กลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ทีวี และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ประกอบกับช่วงปลายปีเป็นช่วงหน้าขายสินค้าหลายกลุ่ม จึงน่าจะทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้น”
นายนิพนธ์ กล่าวว่า กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางขึ้นบน ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อ ซึ่งสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสนใจจะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีนวัตกรรม ดังนั้นบริษัทจึงต้องเดินหน้าพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก