‘อภิวัฒน์ไอยรา’สู่องค์กรที่ยิ่งใหญ่
หลังก้าวพ้นห้วงกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ
“อภิวัฒน์ไอยรา” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในปีที่ 6 หลังเดินทางผ่านพ้นกระแสวิกฤตเศรษฐกิจเมืองไทย ยืนหยัดและยังเติบโตสวนกระแสมาได้ถึง 5 ปี เตรียมปรับองค์กรทั้งเรื่องบุคลากร และ ระบบสู่องค์กรที่ยิ่งใหญ่...บิ๊กบอส “กัมปนาท บุญราศรี” ประกาศองค์กรกำลังก้าวสู่การ “โค้ชชิ่ง” วางแผนสร้างคนให้มีคุณภาพยิ่งกว่าเดิม ยกระดับแบรนด์ให้แข็งแกร่งมั่นคง เผย! การลงทุนอาคารสำนักงานใหญ่ ตอกย้ำความมั่นคง ดันยอดขายปี'60 ทะลุ 1,200 ล้าน.แน่
การถือกำเนิดของ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด ที่เปิดดำเนินการธุรกิจเครือข่ายขายตรงมาตั้งแต่เดือน มีนาคม ปี 2555 หรือ กว่า 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากน้ำท่วมทั่วเมืองไทยครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางเศรษฐกิจย่ำแย่มาโดยตลอด แถมยังเกิดวิกฤตการเมืองไทยถล่มซ้ำเข้ามาอีกระลอก
สรุปแล้วตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี ที่บริษัท "ไอยรา" ดำเนินธุรกิจผ่านมา ต้องบอกว่า ไม่เคยมีปีไหนที่เศรษฐกิจดีเลย แต่ก็ยังสามารถนำพาองคาพยพเดินหน้าสร้างสมกำลังคนและสร้างผลงานใหญ่เติบใหญ่ สวนกระแสมาได้ ชนิดที่ว่า คนในวงการธุรกิจเครือข่ายต้องจับตามอง แถมในปีที่ 6 ที่กำลังจะมาถึง ยังได้เตรียมตัวเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อก้าวสู่องค์กรที่ยิ่งใหญ่อย่างเต็มรูปแบบต่อไป
ดร.กัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่เปิดดำเนินการมากว่า 5 ปี ถือได้ว่า ไอยรา เป็นเรือลำเล็ก ๆ ที่วิ่งฝ่าคลื่น ความซบเซา โดยไม่มีปีใดที่เศรษฐกิจดีเลย ซึ่งสามารถเดินทางผ่านมาได้ถึง 5 ปี ด้วยเครื่องมือที่มี จึงเชื่อได้ว่าถ้า ไอยรา ทำได้ นักธุรกิจไอยรา ก็จะผ่านจุดนี้ เพราะมีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจเครือข่ายขายตรง ว่า หัวใจของธุรกิจ คือ การเอาสินค้ากับคนมาเจอกัน โดยมีระบบจัดการบางอย่าง เพื่อผลักสินค้าไปสู่ผู้บริโภค โดยไม่หลงประเด็น
นั่นคือ ประเด็นแรกตัวสินค้า ประเด็นที่สอง คือ คุณภาพของคน เมื่อทั้งคุณภาพของสินค้าและคุณภาพของคนมาเจอกัน ซึ่งเชื่อว่าในธุรกิจเครือข่ายขายตรง หลายบริษัทพยายามคัดสรรคุณภาพของสินค้ามาอยู่แล้ว แต่ตัวแปรสำคัญไม่ใช่สินค้าหรือระบบที่มีอยู่เพียงเท่านั้น แต่คือ เรื่องของคุณภาพของนักธุรกิจที่จะต้องทำให้เขามีโปรไฟล์ทั้งหมดของบริษัทก่อน แต่ก่อนที่จะเข้าใจทั้งหมด ก็ต้องไปดูที่วิธีการว่า ต้องทำอย่างไร โดยมีการสร้างระบบการปฏิบัติ ก่อนจะไปปฏิบัติจริงในสนาม เรียกว่า กระบวนการฝึกอบรม ตั้งแต่เรื่องของความรู้ไปจนถึงทักษะ ซึ่งการอบรมที่ดี ไม่ได้หมายความว่า อบรมมาก เพราะไม่สามารถทำให้คนเข้าใจ เข้าถึงอาชีพของคนทำธุรกิจเครือข่ายที่แท้จริงได้ ในมุมกลับกันการอบรมมากโดยไม่ตรงประเด็นมีหลักสูตรมากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนถูกอบจนกรอบก็เป็นได้
“ในการอบรมที่สำคัญ คือ คุณจะเปลี่ยนความรู้เป็นเงินได้อย่างไร เราจะต้องมีกระบวนการ ไม่ใช่แค่การเทรน แต่เป็นการเพรสซิ่ง (Pressing - การเพรสซิ่ง คือ การเล่นฟุตบอลในระบบทีม ในขณะลูกฟุตบอลอยู่ในความครอบครองของทีมคู่ต่อสู้ โดยนักฟุตบอลภายในทีม ทุกตำแหน่ง ช่วยกันบีบและกดดันพื้นที่ของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว เพื่อแย่งการครอบครองบอลมาให้ได้) แต่เราจะต้องมีกระบวนการโค้ชชิ่งและต้องมีการลงพื้นที่ไปเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งความสำเร็จจะได้มานั้น มันไม่ใช่เดินทางแค่วันเดียว จะต้องมีระบบพี่เลี้ยงให้เขาลงไปทำงานได้จริง ไม่เช่นนั้น สิ่งที่รู้มาวันนี้มันก็จะจางหายไป ที่กล่าวมา เรากำลังพูดถึงระบบการอบรม ถ้านักธุรกิจมีคุณภาพเจอสินค้าคุณภาพ ต่อให้เจอวิกฤตอย่างไร ก็จะผ่านไปได้
"นับตั้งแต่เปิดบริษัท "ไอยรา" มา ผมก็เหมือนคุณครูคนหนึ่ง จนตอนนี้ก็ยังเป็นคุณครูอยู่ เพราะผมให้ความสำคัญในคุณภาพของคน ในขณะที่คน ไอยรา ไม่ได้เยอะ แต่ในการอบรมนั้นจะไม่มีวิทยากรมาจากข้างนอก เพราะเขาไม่รู้จริงเรื่องธุรกิจขายตรง "ไอยรา" เราจะสร้างคนจากวงในขึ้นมา ทำให้คนมีคุณภาพ นั่นคือ ปัจจัยที่ทำให้ "ไอยรา" ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ บอกตรง ๆ ว่า ผมไม่มีสีหน้าความกังวลใจ สำหรับวันพรุ่งนี้หรือปีหน้า เพราะมันผ่านมาแล้ว ซึ่งทุกคนใน "ไอยรา" ยอมรับความเปลี่ยนแปลง และเขายอมรับว่า ถ้าอยากมีเงิน ทุกคนต้องเปลี่ยนความคิดและวิสัยทัศน์ของตัวเอง ต้องอัพเกรดตลอดเวลา ปลูกฝังให้คนรักการเรียน ไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นยังไง เขาจะพาเราผ่านวิกฤตได้ด้วยคนคุณภาพ”
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ เรื่องของนวัตกรรม ก็เป็นหัวใจอย่างหนึ่งที่ "ไอยรา" เน้นเป็นพิเศษ เพราะบริษัทต้องขายสินค้าที่คนอื่นเขาไม่ขาย หรือ ถ้าหากมีผู้ประกอบการรายอื่นขายสินค้าเหมือนกัน สินค้าของ "ไอยรา" จะต้องเป็นเบอร์ 1 เท่านั้น ถึงจะทำให้ผ่านวิกฤตไปได้ ในขณะที่ระบบสนับสนุนนักธุรกิจจะต้องมี และต้องเป็นระบบที่เข้าใจนักธุรกิจขายตรง เพราะถ้าพวกเขาไม่รู้ใจ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางถูกใจ แต่ถ้าเกิดรู้ใจว่า คนขายตรงเป็นอย่างไร ทำอย่างไร การออกนโยบายอะไรมา ก็จะถูกใจ เพราะจากประสบการณ์ที่เป็นแบบอย่างของนักธุรกิจมา และจากที่เคยเป็นผู้บริหารขายตรงมาก่อน ณ ตอนนี้เป็นประธานบริษัท ก็คือ ตำแหน่งสุดท้ายและสูงสุดที่เป็นอยู่ จึงเอาความรู้ที่มีมาปรับใช้และพัฒนาให้เป็นระบบที่ตอบสนองต่อ "นักธุรกิจไอยรา" เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จท่ามกลางวิกฤตได้
“สิ่งที่ผมหวงมากสุด ก็คือ แบรนด์ ผมจะระวังเรื่องแบรนด์มาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องแพ็คเกจจิ้งก็ดี การวางตำแหน่งแบรนด์ รวมถึงการที่จะโพสต์ข้อมูลต่าง ๆ ออกไป ค่อนข้างจะระมัดระวัง เพราะว่าเวลามันเสียหายไปแล้ว มันแก้ยาก เพราะจุดสูงสุดของการตลาด คือ การตั้งแบรนด์ดิ่ง ฉะนั้น การทำเรื่องแบรนด์ไม่ได้แปลว่า แค่การส่งเสริมออฟฟิศ ส่งเสริมแค่สื่อ หรือ การทำคอนเทนท์ธุรกิจหรือแค่สร้างภาพลักษณ์ประธานบริษัท แต่ทั้งหมดรวมกัน มันก็คือ แบรนด์ดิ้ง การลงโฆษณาจะนิ่ง ๆ เรียบ ๆ ย้อนไปในปี 2555 การปรากฏในวันนี้ ถ้าเราเอาโฆษณาโยนลงไป ผมว่าคนจะจำได้ว่า นั่นคือ "ไอยรา" สำคัญว่าแบรนด์เป็นต้นทุนของบริษัทและนักธุรกิจ ถ้าแบรนด์ดี น่าเชื่อถือ เวลาเขาไปพบและพูดคุยกับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเขาจะภูมิใจในใจ สีหน้าจะออก คนฟังก็รับรู้ได้ การซื้อขายจะเป็นไปได้ด้วยดี”
สำหรับการสร้างแบรนด์ "ไอยรา" นั้น มาถึงวันนี้ยังให้คะแนนความพอใจไม่เต็ม ถ้าจะให้ก็ประมาน 80% ส่วนเรื่องของการสร้างคน พอใจในระดับ 70% ซึ่งในเรื่องของแบรนด์จะต้องทำให้เติบโตขึ้นไปอีก เพราะยังคิดว่าวันนี้ "ไอยรา" เหมือนกับเมืองลับแล ที่ยังไม่ได้เปิดประตูออกสู่โลกภายนอกมากนัก แต่ถ้าให้คะแนนเรื่องแบรนด์เพิ่มอีก 20% คงต้องให้ในเรื่องของการออกไปสู่สังคมให้มากขึ้น นั่นคือ การทำกิจกรรม CSR ในขณะที่การอบรมมีการอบรมมามากแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องลดบางอย่างที่มากเกินออกไป จะคงไว้ในส่วนที่จำเป็น และเพิ่มเติมในส่วนที่โลกต้องการ
"เพราะในรูปแบบของการขายสินค้าไม่ใช่แค่เปิดการขาย และ คนก็อยากซื้อ ก็ต้องมองให้ออกว่า ทำไมคนถึงอยากซื้อของเรา นั่นเพราะว่าคอนเทนท์ของเรามันตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ การสร้างคอนเทนท์ไม่ใช่แค่บริษัทสร้าง แต่พาร์ตเนอร์ของเราที่มีอยู่กว่า 2 - 3 หมื่นคน เขาต้องสร้างคอนเทนท์ให้ได้ด้วยตัวของเขาเอง ผมจึงให้คะแนนการอบรมแค่ 30% อีก 70% ต้องเพิ่มในเรื่องของออนไลน์ ต้องอัพเดทเขาในเรื่องของโค้ชชิ่ง เพื่อเป็นการปลดปล่อยคุณค่าและศักยภาพของเขา โดยการทำโค้ชชิ่ง ผมเลยยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในส่วนของการเรียนรู้ ผมลงมือทำเองเลยครับ เป็นพ่อครัวในการทำอาหารให้ชิม เราไปโค้ชให้คนเข้าใจ ตระหนักรู้ และเดินทางไปด้วยกัน ว่าต้องการอะไรบ้าง”
ล่าสุด บริษัท "ไอยรา" ได้ส่ง นักธุรกิจไอยรา เข้าสู่สถาบันโค้ชระดับประเทศ เพราะต้องการให้คนของ ไอยรา เขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งมันมีนิทานเรื่องหนึ่งบอกว่า “ในท้องทะเล จะมีปลา หอย ปู กุ้ง ปลาบอกว่า โลกของท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีอยู่วันหนึ่ง ปลากระโดดขึ้นบนผิวน้ำ และมันเห็นท้องฟ้ากว้างกว่าทะเล เลยลงไปบอกเพื่อน ๆ ว่า ที่ว่าท้องทะเลกว้างใหญ่แล้ว ยังมีใหญ่กว่านั้นอีก เต่าก็เลยบอกว่า ปลาโกหก มันจะมีได้ยังไง ปลาเลยอธิบายว่า ข้างบนนั้นมีสัตว์ตัวใหญ่กว้างกว่าท้องทะเลที่เรามีอยู่ ทุกตัวหาว่าปลาเป็นคนขี้โกหก แล้วจะทำให้ยังไงให้ที่เหลือรับรู้ว่า ท้องฟ้านั้นกว้างจริง ๆ ก็ต้องทำให้มองเห็นด้วยตาของตนเอง
“เช่นเดียวกับงานนี้ "Thailand Coaching Summit 2017" ผมพาบรรดาเพื่อน ๆ ปลา มาดูด้วยตนเองว่า โลกมันกว้างอย่างไร องค์กรต่าง ๆ ปัจจัยของการขายตรง คือ คนและสินค้ามาเจอกัน ถ้าเราไม่พัฒนาคน องค์กรก็ไม่โต และการพัฒนาคนในองค์กรใหญ่ ๆ เขาไปสุดทางแล้วในเรื่องของการพัฒนา ผมเลยพาหมู่ปลาไป 150 คน ไปสัมผัสกับบรรยากาศ ปลาก็ว๊าว มันมีเรื่องที่อยากจะต้องทำ กลับมาปลาก็เลยมาเล่าต่อกันแล้วพากันไปอีก นี่คือกลยุทธ์”
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด ได้กล่าวต่ออีกว่า หลายคนอาจจะคิดว่าโค้ชไม่เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายขายตรง แต่จริง ๆ แล้วโค้ชกับธุรกิจเครือข่ายขายตรงเหมือนเป็นญาติกัน ซึ่งโค้ชในมิติของ "ไอยรา" ก็คือ โค้ชที่ได้รับการรับรองโดย "สมาพันธ์การโค้ชนานาชาติ หรือ (ICF) The International Coach Federation (ICF - ได้ให้นิยามของคำว่า coachingว่า คือ ความร่วมมือระหว่างโค้ชและผู้ที่ได้รับการโค้ช โดยมีขั้นตอนและกระบวนการ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้รับการโค้ช ได้เห็นโอกาส และเกิดแรงบันดาลใจ ในการใช้ศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง) เพื่อสร้างความสำเร็จทั้งในด้านส่วนตัวและในหน้าที่การงาน
ความหมาย ก็คือ ไม่มีการโมติเวท ไม่ใช่เทรนเนอร์ ไม่มีการสอน เมื่อไหร่ที่โค้ชสากลสอนหรือบอกเล่า เรียกว่าสิ้นสุดการเป็นโค้ช ที่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะอาชีพธุรกิจเครือข่ายขายตรงไม่มีใครสั่งใครได้ ไม่มีใครเป็นเจ้านาย และก็ไม่มีใครเป็นลูกน้อง มันเป็นธุรกิจอิสระ ในเมื่อสั่งไม่ได้จะเอาผลงานมาได้อย่างไร ก็ต้องทำให้เขารู้บทบาทด้วยตัวเขาเอง แค่แนะเขาว่า เธอเป็นนักขายตรงนะ ถามว่าคำพูดพวกนี้ทำให้คนนั้นต้องทำงานนั้นหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะการบอก การสอน ไม่ทำให้คน ๆ หนึ่งต้องไปทำงานนั้นอย่างสุดชีวิต แต่การโค้ชทำให้คน ๆ นี้เข้าใจว่า บทบาทเขาคืออะไร แล้วเขาจะถามและจะทำงานอย่างสุดชีวิต นั่นก็คือ โค้ช
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ธุรกิจเครือข่ายต้องอาศัยสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาก การเป็นโค้ชหรือทักษะที่จะได้ใจเขา ก็คือ การฟังเขา เข้าใจเขา นั่นคือ การให้เกียรติ ไม่ใช่การไปซื้อของให้เขา การโค้ช ก็คือ การฝึกตัวเองเป็นนักฟังอย่างร้อยเปอเซ็นต์ เมื่อเราฟัง และอาจจะเป็นคนเดียวบนโลกก็ได้ที่ฟังเขา ในขณะที่เขามืดแปดด้าน นึกอะไรไม่ออกก็จะนึกถึงเรา มันคือ ความไว้วางใจ ถ้าคนขายตรงทุกคนตื่นรู้ และมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน สายสัมพันธ์แนบแน่น ยอดขายก็จะมาเพราะเป็นพวกเดียวกันแล้ว และสุดท้ายในเรื่องของการโค้ชมาใช้ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้พลังงานมาก ในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองให้ได้ นำทีมให้ได้ ดังนั้น การโค้ชจะทำให้เขาค้นพบคำตอบว่า เขาต้องปลุกตนเองขึ้นสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไร ซึ่งไม่ใช่แค่แรงผลักดัน แต่เป็นแรงบันดาลใจมันมาจากข้างใน เพราะการโค้ช คือ การกระตุ้นจากข้างใน
"ขณะนี้ ไอยรา เป็นองค์กรที่กำลังก้าวเข้าสู่การ Coaching Culture ต้องออกตัวว่า ผมอยากเห็น ไอยรา โต แต่ผมอยากเห็น ไอยรา มั่นคงมากกว่า เมื่อเราระเบิดจากข้างใน คนภายในพร้อม ปีหน้าเราจะจัดงานวันเกิด ในวันที่ 5 มีนาคม ปี 2561 ผมตั้งชื่อว่าเป็นงาน “ไอยรา Revolution” แปลว่า "อภิวัฒน์ไอยรา" คือปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องของคนและสิ่งต่าง ๆ เราจะเปลี่ยนองค์กร ไอยรา ไปสู่องค์กรที่ใหญ่ขึ้น”
สำหรับเป้าหมายในเรื่องยอดขายนั้น จากปีที่แล้ว ไอยรา สามารถทำยอดขายรวมทั้งภูมิภาคอาเซียน 950 ล้านบาท และปีนี้ 2560 เดิมตั้งแต่ต้นปีตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท แต่เมื่อผ่านมาถึงกลางปี ก็รู้สึกว่า ไม่สามารถทำยอดขายถึงเป้าหมายแน่นอน ก็เลยตั้งเป้าหมายใหม่ที่ 1,500 ล้านบาท แต่ถึงตอนนี้คาดว่า 1,200 ล้านบาทน่าจะถึง ซึ่งก็มากกว่าปีที่แล้ว โดยมีอัตราการโต 20%
ในขณะที่ตัวเลขอุตสาหกรรมขายตรงโดยรวม ประเมินกันว่าน่าจะติดลบ เพราะในมุมมองของผม มองว่าธุรกิจเครือข่ายจะซึม เพราะแชร์ลูกโซ่จะมาดึงเม็ดเงินไป ผนวกกับพิษเศรษฐกิจ รวมทั้งตลาดออนไลน์ จึงคาดว่ายอดขายไม่น่าเติบโตขึ้นได้เลย และน่าจะซึมตัวเลขติดลบด้วย เพราะปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากคนรากหญ้า อย่างเกษตรก็ขาดกำลังซื้อ ไม่เพียงเท่านั้นมาเจอน้ำท่วมอีก จึงคิดว่าน่าจะติดลบประมาน 2 - 3%
"ปีนี้เราสร้างตึกสำนักงานใหม่ โดยใช้งบลงทุนไปเยอะ ก็มีคนถามผมว่า ไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้ไม่เหมาะกับการลงทุน ก็เลยอยากจะใช้คำพูดนี้ ว่า จริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่ไม่กล้าเสี่ยง โดยนิสัยต้องชัวร์ก่อนถึงจะทำ แต่ผมฟังมหาเศรษฐีหลาย ๆ คนพูดว่า เมื่อที่ไหนมีปัญหา ที่นั่นคือเงินของเรา ถ้าคนอื่นกำลังเหนื่อยหรือกำลังเดือดร้อน อะไรคือโอกาสตรงนั้น ผมก็มองว่า เราน่าจะโดดเด่นที่สุด ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย และก็ทำให้ขวัญกำลังใจของคน ไอยรา ดีขึ้น จึงมองว่าการทำแบรนด์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ถามว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถึงจะสร้างความเชื่อมั่นได้ ซึ่งต้องใช้จำนวนมากมายเลย แต่ผมคิดว่าความเชื่อมั่นจะต้องสะสมวันละเล็ก วันละน้อย อย่างน้อย ๆ การมีสำนักงานแห่งใหม่ของตนเอง ก็ทำให้เรารู้ว่าเราเติบโตมากขึ้น และเราก็โตมากขึ้นจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ส่วนงบประมาณสร้างแบรนด์นั้น จะต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ใช่แบบบุ่มบ่ามและเมามัน ซึ่งจะต้องคำนวณถึงความเสี่ยงในองค์กรคุ้มค่าหรือไม่ หากวิเคราะห์ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคิด ว่า ธุรกิจเครือข่ายขายตรงต้องการความเชื่อมั่น ถ้าสร้างแบรนด์ไม่มีความเชื่อมั่น ธุรกิจนี้จะโตไม่ได้ เพราะธุรกิจเครือข่ายขายตรง มันขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น”
ดร.กัมปนาท บุญราศรี กล่าวทิ้งท้ายด้วยการให้กำลังใจคนในวงการขายตรง ว่า "ไม่ว่าวิกฤตอะไรจะเกิดขึ้น จงอย่าทำให้ตัวเองอยู่ในวิกฤตนั้น เราต้องออกจากวิกฤต ต้องมองว่าโลกเปลี่ยนไปอย่างไร เราจะต้องก้าวให้ทันโลก คำตอบที่อยากจะบอก ก็คือ ต้องอัพเกรดตัวเอง ฟังคลิปที่ให้กำลังใจซ้ำ ๆ หรือไปฟังกูรูคนเก่ง ๆ นำมาปรับและพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเรียนทางออนไลน์ ผมเชื่อว่าถ้าคุณเข้าใจอะไรบางอย่าง คุณจะกลายเป็นเศรษฐีได้ ในช่วงวิกฤตที่อ่อนแรง อยู่ที่โอกาสของคุณ จงอย่าหยุดการพัฒนาตัวเอง ความคิด ทักษะ และจิตใจ เพราะนี่คือโอกาสและอาจเป็นโอกาสเดียว อย่าหยุดตรงนี้ที่คุณล้า ลุกขึ้นมาแล้วเปลี่ยนเป็นพลังบวก ในการฝ่าฟันไปข้างหน้า ถ้าคุณล้ม คุณต้องลุก เมื่อเขาลุกคุณต้องเดิน เมื่อเขาเดินคุณต้องวิ่ง เมื่อเขาเริ่มวิ่ง คุณบินก่อนเขาครับ คุณจะสำเร็จแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อคิดได้แล้ว ต้องลงมือทำ แล้วคุณจะสำเร็จแน่นอน ไม่ว่าจะอยู่ในเวทีไหน เวทีขายตรงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับคุณ เพราะเป็นอาชีพที่ฝากความหวังไว้ได้"