ผู้เสียหายรับลูกร้องกองปราบ
แจ้งข้อหา‘เมฆ มังกรบิน’หลอกลวง
ผู้เสียหายใช้สารเคลือบเครื่องยนต์ “Max Nano Super Series” รับลูก “สคบ.” เปิดทางรับเรื่องร้องเรียนเอาผิด “เมฆ มังกรบิน” จับมือ “ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม” หอบหลักฐาน ร้องกองปราบ แจ้งโฆษณาหลอกลวงประชาชน ก่อนดันเรื่องส่งต่อ "สคบ." แถมขอย้ำความเจ็บใจ ส่งสินค้าเจ้าปัญหาตรวจเพิ่มที่ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหิดล" นำผลตรวจให้เจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานส่งฟ้องต่อไป
จากการนำเสนอข่าวของ หนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์ ฉบับ 251 ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมาในประเด็น “เมฆ มังกรบิน" ลุ้นอีกวาระกรรม จาก สคบ. ข้อหา "หลอกลวงประชาชน” หลังจากที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้สรุปคำวินิจฉัยให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ Maxx Nano Super Series ยกเลิกและแก้ไขฉลากที่ได้กระทำผิด และยังได้กล่าวเปิดทางว่า จากการกระทำผิด 2 ประเด็น จะส่งผลให้ผู้เสียหายสามารถมาร้องเรียนผู้ประกอบการในข้อหาหลองลวงประชาชนต่อได้ หลังจากนั้นก็มีผู้เสียหายได้เขาแจ้งความกับ กองบังคับการตำรวจกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวก็ได้ร่วมมือกันเดินทางไปแจ้งความที่ กองบังคับการตำรวจกองปราบปราม โดยมี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และ นายจตุพร จันทจิตร์ ผู้เสียหาย ได้นำผลการตรวจสอบสารเคลือบจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดี กับ นายเกริกพล จงเอื้อมกลาง หรือ เมฆ มังกรบิน ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลเข้าสู่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ กรณีใช้เพจ Max Nano Thailand และเพจ "เมฆ มังกรบิน" ทำการโฆษณาหลอกลวงประชาชนให้ซื้อสารเคลือบเครื่องยนต์
นายจตุพร จันทจิตร์ ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนได้ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ คาวาซากิ รุ่น ZX-10R และได้ซื้อสารเคลือบเครื่องยนต์ Max Nano มาใช้กับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว กลับพบว่าเครื่องยนต์ได้รับผลกระทบ หลังขับรถออกไปเพียง 30 กิโลเมตร ก็เกิดอาการเครื่องยนต์กระตุก จึงได้สอบถามไปทางตัวแทน และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องออก แต่อาการไม่หายขาด จึงนำรถเข้าศูนย์พบว่า คลัชและห้องคลัชเกียร์ไหม้ได้รับความเสียหาย
ขณะเดียวกันก็ได้มีการโพสต์ข้อมูลลงไปในโซเชียล มีเดีย ก่อนจะได้รับการติดต่อกลับจาก นายเมฆ มังกรบิน แต่เป็นการติดต่อเพื่อต่อว่า ไม่ใช่การแสดงความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าเป็นการใช้ผิดวิธี ไม่ถูกขั้นตอนเอง ซึ่งผู้เสียหาย ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาโจมตีหรือเป็นคู่ขัดแย้ง เป็นเพียงผู้ใช้ผลิตภัณฑ์
ด้าน นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการนำหลักฐานมอบให้ตำรวจเป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตาม จะส่งสารเคลือบเครื่องยนต์ดังกล่าวไปตรวจเพิ่มเติมที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อความชัดเจน และจะนำผลตรวจมามอบให้ตำรวจ เพื่อรวบรวมหลักฐานในการส่งฟ้องต่อไป
สำหรับคดีดังกล่าวนั้น เริ่มเกิดเป็นเรื่องราวลุกลามขึ้นมาจากในโลกสื่อโซเชียล มีเดียได้การโพสต์การโจมตีผลิตภัณฑ์สารเคลือบเครื่องยนต์ Max Nano Super Series ซึ่งมี นายเกริกพล จงเอื้อมกลาง หรือ เมฆ มังกรบิน เป็นเจ้าของและผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ในประเด็นลูกค้านำไปใช้แล้วทำให้เครื่องยนต์พังเสียหาย ด้วยการระบุว่า สินค้าดังกล่าวเป็นสารที่ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับเครื่องยนต์ และเกิดการตอบโต้กันอย่างรุนแรง กลายเป็นสงครามสื่อทั้งในโลกโซเชียล มีเดีย และสื่อสาธารณะจนเกิดกระแสโด่งดัง ทำให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้หยิบยกขึ้นมาดำเนินการ โดยการระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมปฏิบัติงาน
โดย เมฆ มังกรบิน ก็ได้เข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับ สคบ. และพร้อมให้ความร่วมมือทุกอย่าง ยินดีรับผิดชอบกับลูกค้าที่ใช้สินค้าแล้วเกิดความเสียหาย หากผลการตรวจสอบพบว่า เสียหายจริง ซึ่งเรื่องนี้ สคบ. ได้บันทึกปากคำไว้แล้ว ถ้าบิดพลิ้วจะถูกดำเนินการ ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีมติ ให้ทำการทดสอบพิสูจน์สารเคลือบเครื่องยนต์ว่า เข้าข่ายเป็นสินค้าชนิดใด มีการอวดอ้างสรรพคุณหรือไม่
จากนั้นก็มีการเปิดฉากถล่มโจมตี สารเคลือบเครื่องยนต์ Max Nano Super Series อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากอาจารย์ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนักวิชาการท่านอื่น ๆ อีก ได้ออกมาเผยแพร่คลิปทดสอบองค์ประกอบน้ำมันเครื่อง 3 ยี่ห้อในตลาด พบว่าทั้ง 3 ตัวอย่างนั้น ไม่ได้เป็นน้ำมันแต่อย่างใด ไม่เหมาะในการนำมาใช้ จะทำให้เครื่องยนต์น็อกหรือพังได้
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงาน สคบ. ได้มีการประชุมสรุปผลและได้มีการแถลงข่าวโดย นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการ สคบ. เปิดเผยว่า ในการประชุม สคบ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจ้งเพิ่มเติม รวมทั้งเจ้าของโรงงานจากจังหวัดระยอง ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทของ เมฆ มังกรบิน โดยคณะกรรมการฯ ได้ลงมติในที่ประชุมว่า ได้เห็นชอบกับคำสั่งของคณะกรรมการว่าด้วยฉลากในเรื่องของผลิตภัณฑ์ ประกอบผลพิสูจน์จากทั้ง 2 หน่วยงานที่ สคบ.ได้ส่งไปพิสูจน์ คือ สถาบันยานยนต์ และ ศูนย์นาโนเทคฯ
ประเด็นแรก เรื่องของการออกคำสั่งให้เลิกใช้บรรยายสรรพคุณที่ติดในฉลาก ที่ระบุว่า “สารเสริมที่มีโมเลกุลเล็กกว่าน้ำมันเครื่อง 500 เท่า จึงสามารถยึดเกาะกับผิวโลหะได้ดี ถึงแม้ว่าจะจอดรถไว้เป็นเวลานาน หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยครั้ง สารเสริมก็จะไม่ออกมาพร้อมน้ำมันเครื่อง สามารถลดความร้อนภายในเครื่องยนต์ ลดการเสียดสีทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่อง ลดเสียงดังภายในเครื่องยนต์ และช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 18% เพิ่มอัตราเร่ง 14% ลดการสึกหรอ 90 - 98% และเลิกใช้ภาษาต่างประเทศที่มีลักษณะอวดอ้างในทำนองเดียวกัน รวมถึงการใช้ข้อความที่ไม่ตรงกับความจริง และข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า รวมทั้งฉลากผลิตภัณฑ์ของ Maxx Nano Super Series ทั้งในส่งวนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งหมด
ประเด็นที่ 2 การแก้ไขฉลาก ในกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ม.31 กำหนดเรื่องของรายละเอียด การติดฉลากผลิตภัณฑ์ต้องมี ตั้งแต่ชื่อประเภทชนิดสินค้า รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับราคา ปริมาณ วิธีใช้ คำแนะนำ คำเตือนทั้งหลาย ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ออกคำสั่งในการแก้ไขให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และแก้ไขให้เป็นไปตามประการของคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 17 เรื่องให้น้ำมันเอกนกประสงค์เป็นสินค้าควบคุมฉลาก
“สรุปคำวินิจฉัยของคณะกรรมการว่าด้วยฉลากในวันนี้ ก็คือ ให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ Maxx Nano Super Series ยกเลิกและแก้ไขฉลาก”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนผลวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์มีการให้ความเห็นว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบสาร พาราฟฟิล และ คลอรีน จากโรงงานบริษัทผู้ส่งสินค้าให้ที่ได้เข้ามาชี้แจ้งข้อมูลในวันนี้ ซึ่งให้ความเห็นว่า สารคลอรีนตัวนี้ ผลิตขึ้นมามีวัตถุประสงค์หลักใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก เพื่อทำให้พลาสติกนุ่ม ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้สำหรับเครื่องยนต์ ก็เลยให้ความเห็นว่า ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับเครื่องยนต์ ในขณะที่ผู้แทนผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่พิสูจน์ผลการใช้ผลิตภัณฑ์ Maxx Nano Super Series ก็ยืนยันว่า ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำหรับเครื่องยนต์ และอุตสาหกรรมทั่วไปก็เลิกใช้ไปแล้ว
และก็มีความเห็นของคณะกรรมการวินิจฉัย กรณีที่ได้กระทำความผิดไปแล้ว มี 2 ข้อหา คือ 1. การโฆษณาโดยใช้ฉลากอันมีข้อความเป็นเท็จ หรือข้อความอันพึงรู้แล้วว่า อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณ สาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า ต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2. ในฐานผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตเพื่อขายสินค้า โดยมีฉลากแต่แสดงไม่ถูกต้อง โดยที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ฉลากของตนเองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
จากประเด็นทั้งหมดที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า กรณีนี้จะถือว่าเป็นการหลอกลวงได้หรือไม่ นายพิฆเนศ กล่าวว่า สคบ. พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราบส่งข้อมูลเข้ามา โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ผู้เสียหายสามารถมาร้องเรียนเพิ่มเติมเข้ามาได้ โดยเก็บรวบรวบหลักฐานยื่นเข้ามา ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย