
ขุนพลเงินล้าน'หมอเส็ง'
ก้าวแต่ละก้าว คือ ความสำเร็จ
"นิธิโรจน์ เลิศจารุมงคลกิจ"
จากคนขับวินสู่นักขายเงินล้าน.
"นิธิโรจน์ เลิศจารุมงคลกิจ" ผู้บริหารคุณวุฒิฉัตรเพชร "หมอเส็ง ไทยแลนด์"
เขาถูกเสนอชื่อขึ้นรับรางวัล "นักการตลาดดีเด่น" จาก ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.ดร.ประจิน จั่นตอง ในงาน "INTV AWARD 2017" เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี นสพ.ตลาดวิเคราะห์ และ สถานีดาวเทียม INTV ครบรอบ 8 ปี
เขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่คณะผู้บริหาร "หมอเส็ง" ลงคะแนนเสียงด้วยมติเอกฉันท์ เห็นควรที่จะก้าวขึ้นบนเวทีเกียรติยศในเวทีสำคัญ ๆ ระดับประเทศ
ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ "นิธิโรจน์" เล่าผ่านทีมข่าวว่า เดิมตนมีอาชีพขับวินมอเตอร์ไซค์ เป็นคนขี้อาย ไม่ชอบพูด แต่เป็นมีนิสัยใฝ่รู้ จึงพยายามเสาะหาอาชีพใหม่ทุกวิถีทาง เพราะเชื่อว่า อาชีพขับวินอย่างไรเสีย ก็ไม่มีความก้าวหน้าในชีวิตได้ ยิ่งตนเป็นคนไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ยิ่งปิดทางตันเข้าไปใหญ่
10 ปีที่เฝ้าฝันว่า จะมีทางรอดจากการขับวินมอเตอร์ไซค์ ก็ถูกปิดประตูตายทันที
ชีวิตจึงเปิดโอกาสแสวงหาอาชีพใหม่ทุกทาง จวบจนมาเจอธุรกิจเครือข่าย "หมอเส็ง" ธุรกิจที่ไม่มีความชอบเอาเสียเลย แต่ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง ชี้ให้มองเห็นถึงความสวยงามของธุรกิจนี้ จึงคิดว่าน่าจะสามารถทำให้รวยได้
วันแล้ววันเล่าที่นั่งฟังเพื่อน ๆ มาแชร์ประสบการณ์ ทำแล้วได้อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ก็มานั่งฟังซ้ำครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนกลายเป็นความเชื่อ ว่า น่าจะทำได้จริง เดือนแรกจึงเปรียบเสมือนการตื่นรู้ และ ตื่นเต้นกับอาชีพนี้มาก
เพราะตัวเราก็ไม่มีอะไรให้ใครมาหลอกเราได้อยู่แล้ว ก็เพราะเราไม่มีอะไรให้เขาหลอก
วินาทีนั้นคิดเพียงแต่ว่า เราจะเหละแหละไม่ได้ จึงตัดสินใจขายมอเตอร์ไซค์ และให้ภรรยาลาออกจากงาน เพราะจะไม่มีอะไรให้พึ่ง และใช้เป็นข้ออ้างจากการทำงานได้อีก
เมื่อสตาร์ทและตัดสินใจลงมือทำ ต้องบอกว่า เป็นเรื่องยากมาก เพราะเราไม่มีพื้นฐานอะไรเลย เงินก็ไม่มี ณ ตอนนั้นมีแต่ "ใจ" ล้วน ๆ 3 เดือนแรกก็พบกับความวิบากอีกครั้ง เมื่อมอเตอร์ไซค์อีกคันกำลังจะถูกยึด บ้านที่เช่าก็กำลังจะถูกไล่ให้ออก ณ ตอนนั้นคิดว่า ถ้าไม่มีที่อยู่ก็ไปอยู่ใต้สะพานล่ะกัน
เพราะตอนนั้นทำงานชนิดที่ว่า ลองวัดใจกันดู ว่าจะแพ้หรือชนะ
ผลจากการตั้งใจศึกษาและลงมือทำอย่างจริงจัง และทำถึงขนาดตื่นขึ้นมากลางดึก ยังนึกถึงธุรกิจ "หมอเส็ง" เข้ามาในแวบแรกทุกครั้ง...ทำไปทำมา ระยะเวลา 4 เดือน เม็ดเงินไหลเข้ามาในบัญชีก้อนแรก 30,000 บาท ดีใจที่สุดในชีวิต เพราะได้ปลดพันธนาการทุกอย่าง ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ไม่ถูกยึด บ้านเช่าก็ไม่ถูกไล่ นำเงินมาชำระหนี้สินจนหมดเกลี้ยง
"ผมคิดว่า มันเป็นรางวัลที่เกิดจากความตั้งใจของผม จากคนที่ไม่เคยพูด ก็พยายามฝึกพูด และทำความเข้าใจกับคน ฝึกซ้ำ ๆ ความขี้อายก็เริ่มหายไป เน้นเข้าคอร์สฝึกอบรมบ่อย ๆ แต่เข้าคอร์สอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ต้องออกไปเจอประสบการณ์จริงด้วย
“สิ่งที่กล่าวมา ผมกำลังจะสื่อให้เห็นว่า ความสำเร็จในธุรกิจนี้ ถ้าต้องการสำเร็จต้องมีความเด็ดเดี่ยว ต้องกล้าแลก และต้องมีแรงกดดันให้หยุดไม่ได้ ต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าไม่เดินต่อไม่มีกิน ถอยไม่ได้ เพราะทรัพย์ก็ขายหมดแล้ว เพราะฉะนั้นต้องสู้อย่างเดียวเดินหน้าลุย ซึ่งถ้าไม่ทำก็อด"
ถึงตอนนี้...ผมถือว่าสำเร็จแล้ว สำเร็จมาตั้งแต่ปี 2556 - 2557 หรือประมาณ 4 ปีแล้ว ก็เริ่มมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ เพราะผมมีความเชื่อและคิดเสมอมาว่า ผมทำได้ตั้งแต่เดือนแรกแล้ว และผมต้องประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้
ส่วนเป้าหมายที่ใหญ่กว่านี้ นั่นคือ ต้องการทำให้คนข้างหลังสบายและมั่นคง ทั้งดาวน์ไลน์ ญาติพี่น้อง ซึ่งถือว่าตอนนี้ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง และเข้าใจคำว่า อิสระทางการเงินและเวลาดี ที่สามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องใด ๆ ถือเป็นชีวิตที่ดีมาก ๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้จากการทำธุรกิจเครือข่ายจริง ๆ
"ชลิต เอี่ยมสำอางค์"
หนุ่มหน้ามนต์คนขยัน
เหลียวมองหน้า "ชลิต เอี่ยมสำอางค์" กลับมีคำถามค้างคาใจ เหมือนกับคนในวงการที่มองหน้าเขา แล้วพูดว่า นี่เหรอคนขายตรง...เพราะมองทีไร ทุกคนก็จะมีคำตอบอยู่ในใจ ว่า มันใช่หรือ "ชลิต"...ที่เธอเหยียบเข้ามาสู่วงการขายตรง
แต่ใครจะรู้บ้างว่า ภายใต้ใบหน้ากวน ๆ ยียวนสไตล์วัยรุ่น หนุ่ม "ชลิต" ผู้นี้ เขาเป็นผู้มากความสามารถ แต่ไม่ยอมแบไต๋ออกมา และ ยอมทนทำขายตรง "หมอเส็ง" และยอมเออออห่อหมก ก็เพราะสาวคนรัก แต่เมื่อ "ชลิต" พบกับความสัตย์จริงของธุรกิจเครือข่ายขายตรง ถึงได้รู้ว่า มันน่าหลงใหลและหอมหวน พอ ๆ กับแฟนสาวเสียจริง ๆ
ชีวิต "ชลิต" แม้จะถูกรังสรรค์ปั้นแต่งมาจากคุณพ่อ คุณแม่ ที่วาดหวังว่า ลูกต้องจบจากรั้วมหา'ลัย และมีการ มีงานทำที่ดี แต่ชีวิตก็เฉียดฉิวซะเหลือเกิน เพราะหนุ่มนักรักผู้นี้ มักใช้ชีวิตนอกรั้วมหา'ลัยมากกว่าเข้าเรียนในมหา'ลัย แต่สุดท้ายก็จบมหา'ลัยแบบถู ๆ ไถ ๆ จนจบการศึกษา
และช่วงสุดท้ายของการเรียน ชีวิต "ชลิต" กลับพบกับความโชคดีแบบไม่รู้ตัว เมื่อแฟนสาวชักนำสู่เส้นทาง "หมอเส็ง" เส้นทางที่ "ชลิต" ไม่คัดค้าน และได้แต่คล้อยและตามใจแฟน เพราะความไม่ชอบขายตรง แต่ไม่กล้าบอกแฟน เพราะรักและหวงเขาเป็นที่สุด
ชีวิต "ชลิต" จึงกระเทงตามแฟนไปทุกหนทุกแห่ง ครั้งไหนที่แยก ก็เอาเป็นว่า โชคเข้าข้าง "ผม" เพราะผมไปตามนัดทุกครั้ง แต่ไม่เคยพบลูกค้า ก็ได้บ่ายเบี่ยงบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง ซ้ำ ๆ วนเวียน โดย "ชลิต" ไม่รู้ตัวเลยว่า "ตกหลุมรักขายตรง" ตั้งแต่เมื่อไหร่ และตอนไหน ซึ่งต่างจากแฟนที่มีความเชี่ยวชาญทุกเรื่องในธุรกิจขายตรง เพราะคุณพ่อของเธอเป็นนักขายมือ 1
เมื่อวันที่ภรรยาขึ้นรับตำแหน่งสูงสุดเหมือนคุณพ่อ "ชลิต" ก็เริ่มฉุกคิด และเริ่มมองเห็นทุกอย่างจากความเปลี่ยนแปลงและเริ่มสัมผัสได้ ทั้งเรื่องการมีรายได้ การมีองค์กร จากเดิมที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องของการโม้ติเวท เป็นเรื่องการชวนเชื่อ ก็เริ่มเปิดรับทุกอย่างเข้ามาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง
“ผมมองเห็นภาพการเล่าเรื่องที่ผ่านมาว่า กว่าที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายได้ เป็นอย่างไร ถ้าผมไม่ได้มาอยู่จุดนี้ ไปฟังแค่เขาเล่ามา ผมไม่เชื่อแน่ แต่นี่เป็นการเห็นด้วยตัวเราเอง มันไม่มีจุดไหนที่ต้องอคติ ก็เลยค่อย ๆ ซึมซับเข้าไป ก็เริ่มทำ แต่ในใจก็ยังถือว่า ไม่ชอบ แต่ใจมันเปิดมากขึ้นและทำเต็ม 100 แบบไม่รู้ตัว แบบน้ำซึมบ่อทราย ในขณะที่ทำก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปหลายอย่าง ทำให้รู้ว่า อาชีพนี้สามารถทำแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
ซึ่งการทำงานก็เหมือนเป็นการต่อยอดมรดกที่คุณพ่อของภรรยาทำไว้ แค่ทำให้มันงอกงามยิ่งขึ้น ผมเข้าไปเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด ในขณะที่ทำงานก็ได้เรียน ได้รู้ ได้มีประสบการณ์เสริมส่วนที่มีอยู่แล้ว และเฟ้นหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มตลอดเวลา
ในขณะที่องค์กร "หมอเส็ง ไทยแลนด์" มีความชัดเจนในเรื่องระบบ ก็จะเป็นการคัดกรองคนไปในตัว และในระหว่างที่เราพัฒนาคนนั้น ให้ถือเรื่องที่สำคัญ เพราะการพัฒนายังไม่ถือว่า เป็นจุดที่สำเร็จ แต่การรักษาคนนั้นยากยิ่งกว่า และที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ การเอาน้ำใหม่เข้ามา เราจะต้องพัฒนาไม่หยุดนิ่ง และ จะต้องหามาเติมตลอด สร้างให้เป็นวัฏจักรหมุนเวียนกันไป
โดยเคล็ดลับฉบับ "ชลิต" เลียนแบบได้ ไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากศึกษาผู้ที่ประสบความสำเร็จจากคนใกล้ตัว จากนั้นสร้างทีมงานของตนขึ้นมา ทั้งไซด์ไลน์ บุคคลทั่วไป เพื่อนำความหลากหลายมาเติมเต็ม เห็นจุดไหนดีก็ปรับเอามาใช้ ด้วยการจัดประชุมมีตติ้งมาก ๆ และบ่อย ๆ เพราะจะได้เอาสิ่งที่เห็นมานำเสนอแนะและแก้ไข ที่สำคัญในการทำอาชีพนักธุรกิจเครือข่าย อาชีพนี้ไม่มีลูกพี่ลูกน้อง ตัวตนจะต้องเป็นนายของตัวเอง
“ส่วนเป้าหมายผมนั้น ยังไม่ถือว่าเสร็จ แม้ว่าทางครอบครัวของผมจะประสบความสำเร็จ แต่ทีมงานยังไปไม่ถึง ผมก็จะทำให้ทีมงานประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุด ตอนนี้อายุก็เพิ่งเลข 3 ก็ตั้งเป้าว่า อายุถึงเลข 4 วันนั้น ผมน่าจะมีอิสระด้านสุขภาพ ด้านการเงิน ด้านเวลา แบบที่ผมพอใจ ออกแบบชีวิตได้ จะพาลูก พ่อ แม่ ไปเที่ยวโดยที่ไม่ต้องกังวลใด ๆ ครับ”
"บัญชา - วริญญา"
หนุ่มล่าฝันกับสาวนักสู้
"บัญชา - วริญญา จันทนะโสตถิ์" สองสามีภรรยามนุษย์เงินเดือนอีกคู่หนึ่ง ที่กล้าตัดสินใจลาออกจากอาชีพราชการ วิชาชีพพยาบาล อาชีพที่ใคร ๆ หลายคนใฝ่ฝัน ส่วนสามีเป็น ครู และ เป็นศิลปิน นักดนตรี ช่างภาพ วาดรูป
ถามว่า เม็ดเงินของทั้งคู่สามารถหล่อเลี้ยงชีพได้หรือไม่ คำตอบ คือ ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่พอใจ
เมื่ออาชีพมนุษย์เงินเดือนไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุก ๆ ชีวิตดีขึ้นได้ "บัญชา" ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ก็เสาะแสวงหาอาชีพใหม่ นั่นคือ การเป็นเจ้าของกิจการร้านทำป้ายโฆษณา ที่ถือว่ารายได้อยู่ในระดับที่ดีระดับหนึ่ง ช่วงที่ธุรกิจนี้กำลังฟู่ฟ่ารายได้จะดีมาก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคู่แข่งเกิดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย จนเกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ธุรกิจก็เริ่มถดถอย จนเกิดความเครียดลงกระเพาะ จึงพานพบกับผลิตภัณฑ์ "หมอเส็ง" แต่ตอนนั้นซื้อกินอย่างเดียว เพราะไม่ชอบธุรกิจเครือข่าย คิดว่าทำไม่เป็น แต่เหตุก็เกิดเมื่อใช้สินค้าแล้วเกิดผลตอบรับดีมาก
จึงลองเปิดใจมาทำธุรกิจ "หมอเส็ง" ในภาวะที่ธุรกิจป้ายโฆษณาถดถอยลงอย่างหนัก
"ผมเริ่มเข้าไปอบรม เรียนรู้ ทำการศึกษา ขณะที่ภรรยาไม่ให้ทำ เนื่องจากความที่เป็นพยาบาล ก็ไม่เคยรู้จักผลิตภัณฑ์ ไม่รู้จักแบรนด์หมอเส็ง ซึ่งก่อนหน้านั้นภรรยาก็เป็นคนสั่งยาให้กิน แต่เป็นยาเคมีที่คิดว่าดีอยู่แล้ว แต่เขากลับต้องแปลกใจ เมื่อใช้สมุนไพรแล้วกลับทำให้ร่างกายดีขึ้นมากกว่าเดิม จึงคิดหาต้นสายปลายเหตุว่า มันดีขึ้นได้อย่างไร"
"วริญญา" จึงต้องเฟ้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสเดินทางไปดูโรงงาน ไปดูกระบวนการผลิต ก็เห็นความมีมาตรฐาน ภรรยาก็เริ่มชอบ หลังจากนั้นก็จับมือกัน ลงมือทำทันที จนเริ่มประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมาย้อนมองดูอาชีพพยาบาล อาชีพที่ "วริญญา" รัก เรื่องเหนื่อยเธอทนได้ แต่เมื่อมองดูอิสรภาพทางด้านเวลา เห็นว่ามันขาดหายไป และ ไม่มีอิสระ
"วริญญา" ตัดสินใจลาจากอาชีพพยาบาลในเวลาต่อมา และหันมาทำธุรกิจ "หมอเส็งเต็มร้อย" โดยวางแผนการทำงานและกำหนดเป้าหมาย ด้วยการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง แบ่งงานกันทำ เท่าที่จะทำได้ โดย "บัญชา" เดินอยู่แนวหน้า และบทบาท "วริญญา" เดินอยู่แนวหลัง ประสานงานฟังกันและกัน เข้าใจกันตลอดเวลา ส่งเสริมกันและกัน ที่สำคัญไปช่วยเหลือทีมงานทุกที่ทั่วประเทศและต่างแดน พร้อมเดินไปสู่เป้าหมายรายได้หลักล้านต่อเดือน ในอีก 3 ปีข้างหน้า...
"อัครพัชร์ ศรีนิธิธัญพร"
หนุ่มน้อยสอยเงินล้าน
"น้องฟาร์ม - อัครพัชร์ ศรีนิธิธัญพร" หนุ่มน้อย ผู้เดินสู่ยุทธจักรขายตรงตั้งแต่อายุ 18 ปี
เริ่มจากติดสอยห้อยตามแม่ หลังเรียนจบชั้น ม.6 เพราะไม่ได้เรียนต่อใบปริญญา สาเหตุเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ "น้องฟาร์ม" ก็ไม่ได้เสียใจ และได้ติดตามแม่มาที่ "หมอเส็ง" เพื่อมาช่วยเหลือแม่ ช่วยเหลือครอบครัว มาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก แต่ที่ทำเพราะเชื่อแม่
"แม่" ก็เริ่มผลักดัน "น้องฟาร์ม" ตลอดเวลา เริ่มจากส่งน้องเข้าคอร์สอบรม 2 วัน 1 คืน "น้องฟาร์ม" ก็ได้แต่ทำตาม ทั้ง ๆ ที่ใจก็ยังไม่เปิด แต่ก็แอบคิดอยู่เล็ก ๆ ว่า สิ่งที่พ่อและแม่มอบให้ ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ก็เริ่มเปิดใจรับฟัง
"น้องฟาร์ม" ใช้เวลา 4 เดือน เพื่อทำความเข้าใจกับ "ธุรกิจหมอเส็ง" ก็เริ่มเปิดใจอย่างจริง ๆ จัง ๆ เมื่อเริ่มพูดคุยกับอัพไลน์ที่มีประสบการณ์และทำแล้วประสบความสำเร็จ
เมื่อชีวิตต้องสู้และเลือกเดินมาเส้นทางนี้ บุคคลกลุ่มแรกที่ "น้องฟาร์ม" คิดถึง นั่นก็คือ กลุ่มเพื่อนในสมัยมัธยม เพื่อน ๆ ก็มีแต่ความสงสัยว่าทำไมเราถึงมาทำธุรกิจนี้ได้ แม้เพื่อนทุกคนจะช่วยกันสมัคร แต่ก็เดินจางหายไปทีละคน ทีละคน
“จากที่ไม่ได้ตั้งใจทำ เพียงแค่ต้องการช่วยพ่อและแม่ขับรถขนของ ก็เริ่มมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องสินค้า แผนการตลาด วิธีการแนะนำคน ทำอย่างนี้อยู่ 3 - 4 เดือน พอตั้งใจทำจริง พ่อ - แม่ ก็โอนมรดกให้เลย เป็นรหัสที่ยังไม่มีรายรับ แต่แม่ช่วยเรื่องหาคน ทำมาได้ 7 - 8 เดือน ก็เริ่มพอใจกับสิ่งที่ตนเองตัดสินใจ จากที่มีรายได้ 3 - 4 เหมือนบาทต่อเดือน ปีถัดมาก็รับรายได้หลักแสนต่อเดือน โดยอาศัยผู้สำเร็จเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ สรุปแล้วใช้เวลาเพียงปีกว่า ๆ ก็รับรายได้ถึงหลักแสน และตอนนี้รับรายได้ถึง 2 แสนต่อเดือน ก็ยิ่งมั่นใจ และไม่คิดว่าตนจะมาถึงตรงนี้ได้เร็วอย่างนี้”
ส่วนเรื่องของการศึกษาต่อนั้น ขณะนี้ไม่คิดที่จะเรียนต่อ เพราะคิดว่า "หมอเส็ง" เป็นโรงเรียนที่ให้ทั้งรายได้ ความมั่นคง และอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งในใจก็อยากจะได้ใบปริญญา แต่ว่าการที่เราอยู่ตรงนี้ ถึงทำให้มีวันนี้ได้ ที่สำคัญยังทำให้คนอื่นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ภายใต้รหัสเครือข่ายนับหมื่นคน
หลักการบริหารคนเรือนหมื่น ผมก็ใช้ระบบของบริษัทขับเคลื่อน ส่วนการทำงานก็เอาวิธีการของพ่อ - แม่มาใช้ จนประสบความสำเร็จ จนสามารถซื้อรถยนต์ได้ 2 คัน คือ รถกระบะและรถเบนซ์ ซึ่งสิ่งที่ได้มานี้ เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นของผู้ก่อตั้ง นั่นคือ "คุณหมอเส็ง" บวกกับความอดทนของพ่อและแม่ ที่ยืนหยัดอยู่ และ ได้ส่งต่อมาถึงผม
คำบางคำใช้กับคนบางคนแล้วมัน "ใช่" มันก็คือ บทสรุปของคำว่า "สำเร็จ"
ณ วันนี้ ทำธุรกิจหมอเส็งมา 8 ปี ได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศถึง 5 ประเทศในเอเชีย ก็อยากจะไปให้ไกลกว่านี้ ไปถึงยุโรปและอเมริกา นอกจากเป้าหมายท่องเที่ยว ก็ยังมีเป้าหมายเรื่องรายได้ ตั้งเป้าไว้อีก 5 ปีจะมีรายได้ 7 หลักต่อเดือน ในปี 2565 ผมอยากได้รถซูเปอร์คาร์มาขับเล่น ๆ สัก 1 คน นี่คือ สิ่งที่ผมใฝ่ฝัน...
"วรกฤต รัศมีภาสกร"
เส้นทางสำเร็จที่ยาวไกล
แปลกที่ชีวิต "วรกฤต รัศมีภาสกร" ถึงแม้จะรับรายได้หลักล้านจาก "หมอเส็ง" แต่ก็ยังไม่เปิดใจ
เพราะมีคำถามที่คาใจ ฝังลึกอยู่ในใจตลอดมากว่า 4 ปี เพราะเขาผู้นี้มีความคิดว่า มนุษย์เครือข่ายมีความล้มเหลวให้เห็นตลอดเวลา เนื่องจากเป็นคนที่มีนิสัยแปลกกว่าคนอื่น ในขณะที่นักธุรกิจเครือข่ายทั่วไป มักจะซึมซับวิธีการสำเร็จจากต้นแบบคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลาย ๆ คนมักไปจับจุดจับจ้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้
แต่สำหรับ "วรกฤต" เขาจะแยกไปสัมผัสกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มที่ปิดใจจากอาชีพนี้ เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเลิกทำธุรกิจเครือข่ายทั่ว ๆ ไป เพราะอะไร ทำไมคนที่ล้มเหลวในอาชีพนี้ จึงมีจำนวนเยอะมากกว่าคนประสบความสำเร็จ
จากการค้นหาคำตอบดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งก็ไปเจอกับปรมาจารย์ในระดับต้น ๆ ของวงการธุรกิจเครือข่ายที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน กลับเป็นคนชี้แนะถึงแนวทางที่คนเครือข่าย "ไม่ควรทำ" ก็ได้วิชาความรู้มาว่า คนที่ล้มเหลวในธุรกิจเครือข่ายเขาทำกันอย่างไร เฉกเช่นคนขับรถก็มักจะเรียนรู้แต่วิธีขับรถ แต่ไม่เรียนรู้ว่าจะขับรถอย่างไรไม่ให้รถชน นั่นก็คือ การศึกษาเรื่องการรักษากฎในการขับรถ
จากแนวคิดดังกล่าวที่ได้ศึกษา สิ่งที่คนล้มเหลวในธุรกิจเครือข่าย จึงกลายมาเป็นแรงผลักดันให้ "วรกฤต" เปิดใจ 100% ในการทำธุรกิจเครือข่าย "หมอเส็ง"
“ตอนแรกผมมีคำถามมากมายกับธุรกิจนี้ ถึงแม้ว่าภรรยาผม จะทำธุรกิจหมอเส็งมานานถึง 4 ปี แต่ผมก็ทำเพียงแค่ช่วยขับรถ ช่วยยกของ ซึ่งไม่สามารถเปิดใจผมได้ แม้กระทั่งผมจัดคอร์สสัมมนาเอง ก็ยังมีอะไรในใจ กระทั่งได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ทำล้มเหลวในธุรกิจเครือข่ายถึงได้เปิดใจ และตอนนี้ผมเปิดใจ 100% แล้ว ซึ่งทำให้มีความเข้าใจถึงความสำคัญของการฝึกอบรม ทำไมต้องมีการฝึกอบรม หลาย ๆ คนอาจไม่เข้าใจ ก็เพราะเพื่อมาปลดล็อกคนอย่างผม จุดนี้แหละที่เป็นจุดอ่อน ทำให้ผมช้าไม่เปิดใจ”
6 ปีให้หลัง กับการทำงานธุรกิจ "หมอเส็ง" วรกฤต เชื่อแล้วว่า การมีอีโก้นั้น มันเป็นตัวทำลายแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และ 4 ปีที่ทำก็ใช้สินค้ามาตลอด โดยไม่ต่อต้าน แต่มีคำถามในเรื่องระบบ เพราะมองว่าการทำธุรกิจเครือข่าย เป็นการทำให้คนข้างบนรวย จนกลายเป็นมุมลบ และเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมดเลย จุดนี้เองที่เป็นเหตุผลที่ต้องจัดคอร์ส “การเปลี่ยนแนวคิด” เพื่อทำให้พวกเขากล้าออกจากกรอบความคิดเดิม ๆ
ขณะนี้ "วรกฤต" ทำธุรกิจหมอเส็งมาเป็นเวลา 10 ปี จากบริษัทที่เปิดมาแล้ว 15 ปี สิ่งที่เขามองเห็นตลอดระยะเวลา นั่นก็คือ ทุกคนที่ทำธุรกิจอยู่นี้ มีแต่ความหวังดีให้กัน อัพไลน์เห็นดาวน์ไลน์ทำได้ ก็อยากทำได้อีก โดยที่อัพไลน์เป็นผู้ที่ให้ความรู้ ให้วิชา และได้ส่งต่อความคิด ว่า สิ่งใดที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ และ สิ่งใดที่ไม่ควรทำ
และที่นี่ เจ้าของบริษัทมีความหวังดีกับคนไทย และ หมอเส็ง เป็นธุรกิจเครือข่ายที่เปลี่ยนมุมมอง และ เปลี่ยนทัศนคติ "วรกฤต" ได้อย่างสิ้นเชิง