'คปภ.'เชือดประกันเถื่อน
สั่งลงดาบจับ/ปรับ/ยัดข้อหาแรง
"คปภ." เอาจริง สั่งเฉือนเนื้อร้ายพวกทำลายธุรกิจประกัน...หลังกำราบจนอยู่หมัด ยอดกระทำผิดกฎหมายลดระดับ...สั่งกำชับทุกบริษัท หากบริษัทเกี่ยวข้องกับนายหน้าเถื่อน ต้องหันมารับผิดชอบร่วมเรื่องจ่ายค่าสินไหมทดแทน เติมความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อระบบประกันภัย...ล่าสุด สั่งเชือดนายหน้า "บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด" หลอกประชาชนกว่า 200 คน รุดหน้าแจ้งความกองปราบฯ ยันเอาเรื่องจนถึงที่สุด
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ธุรกิจประกันภัยทั้งระบบมีตัวแทน/นายหน้าประกันภัย จำนวนทั้งสิ้น 532,697 ราย โดยแบ่งเป็นตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 271,483 ราย ตัวแทนประกันวินาศภัย จำนวน 19,735 ราย นายหน้าประกันชีวิต จำนวน 109,303 ราย และนายหน้าประกันวินาศภัย จำนวน 132,176 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรที่มีมาตรฐานและคุณภาพที่ดี ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่กระทำผิดกฎหมายสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนนั้น ถือได้ว่ามีอัตราส่วนที่น้อยมาก
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานพิสูจน์ยืนยันแล้ว จึงได้ดำเนินการลงโทษอย่างเคร่งครัดด้วยการเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 (วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน) ตนในฐานะนายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัย รวม 15 ราย โดยอาศัยอำนาจตาม ข้อ 6 (4) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการประกาศ หรือโฆษณาการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต (วินาศภัย) พ.ศ.2556
โดยในจำนวนนี้ประกอบด้วยตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 13 ราย และนายหน้าประกันวินาศภัย จำนวน 2 ราย ซึ่งผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทั้ง 15 ราย จะไม่สามารถกระทำการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัย หรือ ขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนสาเหตุของการกระทำความผิดของบุคคลทั้ง 15 ราย ที่นำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตในครั้งนี้ เกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ คือ ได้รับชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย แต่มิได้นำเงินค่าเบี้ยประกันภัยส่งให้บริษัทประกันภัย และปลอมลายมือชื่อในใบรับมอบกรมธรรม์ เป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์
“ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับคุณภาพของตัวแทน/นายหน้าประกันภัย ตั้งแต่กระบวนการก่อนการขาย การเสนอขายตลอดจนการให้บริการหลังการขาย อีกทั้งมีการอบรม การสอบ การขอต่ออายุเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้เอาประกันภัยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ สำนักงาน คปภ. จึงมีความเข้มงวดและมีความเฉียบขาดในการดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาลงโทษอย่างเคร่งครัด จริงจัง และต่อเนื่อง
อย่างเช่นกรณีบริษัทแห่งหนึ่งที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย แต่ไปเสนอขายประกันภัยรถยนต์ของบริษัทประกันภัยหลายแห่งผ่านทางโทรศัพท์ และเมื่อผู้เสียหายตกลงทำประกันภัยรถยนต์และชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยแล้ว ผู้เสียหายก็ไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัย ทำให้เกิดความเสียหาย สำนักงาน คปภ.ได้ตรวจสอบติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และได้มอบหมายให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสายกฎหมาย และคดีนำประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายเข้าแจ้งความต่อกองปราบปรามเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด”
นอกจากนี้ กฎหมายในการกำกับดูแลตัวแทนนายหน้าประกันภัย จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากได้มีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีบทกำหนดโทษทางอาญาทั้งจำคุกและปรับด้วย ดังนั้นต่อไปหากตัวแทนและนายหน้าประกันภัยกระทำผิด นอกจากจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ถ้าการกระทำเข้าองค์ประกอบความผิดเรื่องการฉ้อฉลประกันภัย ก็อาจถูกดำเนินคดีจนถึงขั้นจำคุกและปรับอีกด้วย
และเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง จากการซื้อประกันภัยจากตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีคุณภาพ ประชาชนควรตรวจสอบว่าผู้เสนอขายประกันภัย เป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง รวมทั้งรายชื่อตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตในไตรมาสที่ 3 จำนวน 15 ราย โดยสามารถตรวจสอบสถานะตัวแทน/นายหน้าประกันภัย ได้จากเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. www.oic.or.th หรือสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186
สังคายนาจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ย้ำตัวแทนเบี้ยวบริษัทรับผิดชอบ
ในงานสัมมนาวิชาการและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย" จัดโดย "สมาคมประกันชีวิตไทย" ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เข้าสัมมนา อันประกอบด้วยกรรมการสมาคมประกันชีวิตไทย และ ผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต รวมถึงกับผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็นและประสบการณ์เกี่ยวกับประกาศ คปภ. เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ.2559 และประกาศ คปภ.อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัย
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ.ได้กล่าวย้ำว่า สำนักงาน คปภ.ให้ความสำคัญในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการประกันภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้บริโภคถือเป็นศูนย์กลางของระบบประกันภัย หากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัยย่อมพัฒนาต่อไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้แผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 ในยุทธศาสตร์ที่ 1 จึงให้ความสำคัญต่อการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยเป็นที่เชื่อมั่นไว้วางใจของประชาชน ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีนโยบายดูแลผู้บริโภคแบบเชิงรุกและครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและเสริมศักยภาพระบบการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพและเข้มแข็งมากขึ้น
โดยบริษัทประกันชีวิตจะต้องกำกับดูแลตัวแทนประกันชีวิตให้ดี เพราะแม้ตัวแทนจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยสามารถเข้าถึงประชาชน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ หลายเรื่องเกิดจากพฤติกรรมของตัวแทน ซึ่งหากตัวแทนประกันชีวิต ไปกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัย บริษัทจะต้องร่วมรับผิดจากการกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทนั้น ๆ ด้วย ตามมาตรา 70/1 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่บัญญัติว่า“บริษัทต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนประกันชีวิตต่อความเสียหายที่ตัวแทนประกันชีวิตนั้นได้ก่อขึ้นจากการกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท”
รวมถึงกรณีบริษัทประกันภัยใช้บริการจากบุคคลภายนอก ในการดำเนินงานให้กับบริษัท สำนักงาน คปภ. ได้มีประกาศ คปภ. เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการใช้บริการจากบุคคลภายนอก (Outsourcing) ของบริษัทประกันภัย เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานและใช้ทรัพยากรของบริษัทในงานหลักที่สำคัญ รวมถึงให้ได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเครือข่ายของผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งประกาศดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการใช้บริการจากบุคคลภายนอก โดยคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ได้รับมอบหมาย ต้องกำหนดนโยบายการใช้บริการจากบุคคลภายนอกที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน และจะต้องดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ บริษัทจะต้องกำหนดแนวทางการคัดเลือกผู้ให้บริการอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงสถานะของผู้ให้บริการ ซึ่งจะต้องไม่อยู่ในลักษณะที่อาจมีผลประโยชน์ขัดกันกับบริษัท สถานะความมั่นคงทางการเงิน และต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น รวมทั้งบริษัทต้องพึงตระหนักเสมอว่าการใช้บริการจากผู้ให้บริการเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินการเท่านั้น บริษัทยังมีความรับผิดชอบต่อลูกค้าเสมือนหนึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการเอง ดังนั้นบริษัทต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าได้ดูแลและรับผิดชอบต่อลูกค้าอย่างเหมาะสม โดยต้องดูแลให้ผู้ให้บริการจัดให้มีระบบรักษาความปลอดภัยและความลับของข้อมูลลูกค้า มีระบบดูแลเรื่องร้องเรียนและแก้ปัญหาแก่ลูกค้าอย่างเพียงพอเหมาะสม ไม่ทำให้คุณภาพของบริการที่ลูกค้าได้รับด้อยลง รวมทั้งต้องเปิดเผยข้อมูลที่อาจมีผลกระทบต่อลูกค้าให้ทราบล่วงหน้าด้วย
“ที่สำคัญในการพิจารณาตัดสินใจชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย บริษัทต้องรับผิดชอบในความผูกพันที่มีอยู่ตามสัญญาประกันภัย จึงเป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะต้องมีกระบวนการพิจารณาอนุมัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและให้บริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบคุณภาพได้ โดยบริษัทจะต้องควบคุมกำกับผู้ให้บริการภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ให้ใช้อำนาจหน้าที่นอกขอบเขตอำนาจที่ได้รับ ซึ่งอาจทำให้ผู้เอาประกันเกิดความเข้าใจผิดและได้รับความเสียหายได้”
ดังนั้น การจัดการเรื่องร้องเรียนและกระบวนการในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จึงถือเป็นหัวใจที่สำคัญ ซึ่งหากปราศจากการบริหารจัดการที่ดีแล้ว ย่อมนำมาซึ่งปัญหาการร้องเรียนและการขาดความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัย สำนักงาน คปภ. จึงมีนโยบายในการบังคับใช้ประกาศ คปภ. เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ.2559 อย่างจริงจัง เพื่อให้การชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต และการจัดการเรื่องร้องเรียนของบริษัท เป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรม จึงได้สั่งการให้สายตรวจสอบปฏิบัติการตรวจสอบประเด็นนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งจะมีการทำงานแบบบูรณาการระหว่างสายตรวจสอบและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ของสำนักงาน คปภ.
โดยในการตรวจสอบประเด็นเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมของบริษัทประกันภัย จะให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ไปร่วมทีมออกตรวจด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล และเป็นมาตรการเชิงรุกในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเชื่อว่าหากสำนักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมือจากสมาคมประกันชีวิตไทยและบริษัทประกันชีวิต ก็จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการประกันภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตให้ก้าวสู่ความแข็งแกร่ง มีคุณภาพ เสถียรภาพ มีธรรมาภิบาล และเติบโตยั่งยืนอย่างแท้จริง
ลั่นเอาจริงโบรกเกอร์เถื่อน
เช็คบิลตุ๋นชาวบ้าน 200 ราย
นายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการ คปภ.ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. นำประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายจาก บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จ ากัด เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ว่า บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จ ากัด ที่มีนางสาววราพร บุตรแสน และนายชาญยุทธ โสมาศรี ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ ได้กระทำการเสนอขายประกันภัยรถยนต์ของบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ผ่านทางโทรศัพท์ให้แก่ประชาชน และเป็นผู้เสียหายประมาณ 200 ราย ทั่วประเทศ โดยเมื่อผู้เสียหายได้ตกลงทำประกันภัยรถยนต์และชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัย ทางบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด จึงออกเอกสารใบคำขอเอาประกันภัย ซึ่งอ้างว่าเป็นของบริษัทประกันภัยหลายแห่งและออกใบเสร็จรับเงินของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด ให้แก่ผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน แต่ปรากฏว่า ผู้เสียหายไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัย จึงติดต่อไปยังบริษัทประกันภัยที่ถูกระบุว่า เป็นบริษัทผู้รับประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยแจ้งว่า ไม่มีการแจ้งขอเอาประกันภัยแต่อย่างใด
ดังนั้น ผู้เสียหายจึงติดต่อกลับมายังบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด เพื่อขอยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยและขอเงินค่าเบี้ยประกันภัยคืน แต่พนักงานของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด กลับบ่ายเบี่ยง ไม่ยินยอมให้ยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ หรือหากจะยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ผู้เสียหายจะต้องถูกหักค่าใช้จ่าย และยิ่งไปกว่านั้นมีผู้เสียหายหลายรายที่ขับรถยนต์ไปประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อไม่มีการขอเอาประกันภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด ยังได้ลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการ
ใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทประกันภัยหลายบริษัท เพื่อชี้ช่องให้ประชาชนเข้าทำสัญญาประกันภัย ซึ่งสำนักงาน
คปภ. ได้ตรวจสอบจากฐานข้อมูลใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันวินาศภัย พบว่า บริษัท
เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด ไม่มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยแต่อย่างใด สำหรับนายชาญยุทธ โสมาศรี
ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยของบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด แต่ได้ถูกยกเลิกใบอนุญาตเมื่อวันที่ 25
เมษายน 2560 ส่วนนางสาววราพร บุตรแสน ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยบุคคลธรรมดา ประเภท
จัดการประกันวินาศภัยโดยตรง ใบอนุญาตเลขที่ 5804032748 ซึ่งนายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็น
นายหน้าประกันวินาศภัยไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ.ยังได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัทประกันภัยหลายบริษัท ที่ได้รับความเสียหายจาก
การกระทำของบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด เช่น บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพ
ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย
จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตเกียวประกันภัย จำกัด (มหาชน)
โดยเบื้องต้น สำนักงาน คปภ. ได้รับแจ้งข้อมูลการดำเนินการตามกฎหมายจากบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด กล่าวคือ บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการ
ฟ้องนางสาววราพร บุตรแสน เป็นคดีอาญา ต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ รวมทั้งได้ฟ้อง
เรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทนนายหน้า เป็นคดีแพ่ง ต่อศาลแขวงปทุมวัน ส่วนบริษัท สินทรัพย์
ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร กรณีบริษัท
เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด แอบอ้างชื่อของบริษัทเพื่อขายกรมธรรม์ โดยมิได้เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย
ของบริษัทแต่อย่างใด สำหรับ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
เพื่อให้ดำเนินคดีบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด และ นางสาววราพร บุตรแสน ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ปลอม
เอกสาร ใช้เอกสารปลอม และนำชื่อในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ จากการหารือของบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์
จำกัด มีความเห็นสอดคล้องกันว่า กรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด กระทำการใช้เอกสารใบคำขอเอา
ประกันภัย ซึ่งไม่ใช่เอกสารของบริษัทประกันภัย เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็น
ความผิดฐานปลอมเอกสาร ซึ่งบริษัทประกันภัยจะดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
อีกทั้งบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด กระทำการใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และ หลงเชื่อว่าบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นความผิดตามมาตรา
14 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 และบริษัท
ประกันภัยทุกบริษัทพร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด ให้ถึงที่สุด
ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้ประสานกับผู้เสียหายให้มาร้องทุกข์ เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย
“การกระทำของบริษัทฯ และ พฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าว ได้สร้างความเสียหายกับประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลางมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผมจึงสั่งการให้สำนักงาน คปภ.ที่มีประชาชนได้รับความเสียหายรวบรวมข้อมูลการกระทำความผิด ตลอดจนติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด ส่วนในการป้องกันปัญหาเรื่องนี้ในระยะยาว คือ การเร่งผลักดันการแก้ไขกฎหมายประกันภัย โดยเพิ่มบทบัญญัติฐานความผิดเรื่องการฉ้อฉลประกันภัย และเข้มงวดในการออกใบอนุญาตและกำกับดูแลคนกลางประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ด้านนายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้ท่านเลขาธิการ คปภ.ได้ให้ความสำคัญและห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหาย จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตามองพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และให้สำนักงาน คปภ.ทุกพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเสียหาย เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้รัดกุมในการดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด ดังนั้น ตนจึงได้รับมอบจากเลขาธิการ คปภ.ให้นำประชาชนส่วนหนึ่งที่เป็นผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จำกัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของบริษัทในความผิดฐานกระทำการใช้ชื่อ หรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า “อินชัวร์” อันเป็นการใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อธุรกิจว่า
“ประกันวินาศภัย” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน โดยนำไปแสดงต่อผู้อื่นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทน
ประกันวินาศภัยหรือนายหน้าประกันวินาศภัยที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 18 มีบทกำหนดโทษตาม
มาตรา 87 และกระทำการชี้ช่องให้บุคคลทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนาย
ทะเบียน เป็นความผิดตามมาตรา 63 อันมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.
2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551
ส่วนกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของบริษัท กระทำการ
โฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการใช้ข้อความอันเข้าลักษณะเป็นการชี้ช่องให้ผู้เสียหายเข้าทำ
สัญญากับบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ทั้ง ๆ ที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกัน
วินาศภัยแต่อย่างใด ประกอบกับบริษัทประกันภัยหลายแห่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จำกัด
และ/หรือนางสาววราพร บุตรแสน และ/หรือนายชาญยุทธ โสมาศรี แต่อย่างใด อันอาจเป็นการนำเข้าสู่ระบบ
คอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามมาตรา 14 (1)
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560
“สำนักงาน คปภ.มีความมุ่งมั่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านประกันภัยให้กับประชาชน และไม่ประสงค์ให้กลุ่ม
คนใดเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัย
ดังนั้นจึงอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง” นายตนุภัทร กล่าวในที่สุด