ดร.สุทธาภา เปิดบทสนทนาสำหรับประเด็นความกังวลว่าเมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาอย่างเต็มที่จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในทุกด้าน ว่า “AI นั้นยังห่างไกลจากการทำงานได้เปรียบเสมือนสมองมนุษย์มาก แต่เราสามารถเขียนโปรแกรมให้ AI สื่อสารกับมนุษย์ได้เข้าใจง่าย และที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI ก็ได้เข้ามาสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ในการเสริมขีดความสามารถของมนุษย์ และจะมากยิ่งขึ้นอีกในอนาคต แต่สิ่งที่ต้องระวังมากกว่าคือเทคโนโลยีที่ทำให้ความสามารถของมนุษย์ด้อยลง เช่น ส่งผลให้ผู้คนทำงานสอดประสานงานกันน้อยลง ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงเข้าหากันในระดับอารมณ์ความรู้สึกน้อยลง หรือแม้แต่ทักษะง่าย ๆ อย่างความสามารถในการจดจำทิศทาง แต่เทคโนโลยี AI ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งผลให้เกิดการสร้างงานใหม่ ๆ ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากรสู่งานต่าง ๆ ได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น”
AI ยังทำให้เกิดข้อกังวลว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ ดร.สุทธาภา ให้ความเห็นว่า “เทคโนโลยีไม่เพียงแต่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์สำหรับงานแบบเดิม ๆ เท่านั้น แต่งานที่มีความยากและซับซ้อนซึ่งต้องใช้ทักษะในการประมวลข้อมูล AI ก็สามารถทำแทนได้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญคือการจัดสรรโยกย้ายทรัพยากรมนุษย์ไปทำงานในแบบใหม่ ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้อาจสร้างช่องว่างของความไม่เท่าเทียมทางเทคโนโลยีระหว่างธุรกิจที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ในมือและไม่มี แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คงต้องย้อนกลับมาที่การส่งเสริมให้ผู้คนมี “ความรู้ด้านดิจิทัล” (Digital Literacy) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างกว้างขวาง เช่น การค้นข้อมูลออนไลน์ การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ พิจารณาความถูกต้องน่าเชื่อถือของสื่อต่าง ๆ การลงทุนเพื่อสร้าง “ทักษะความรู้ด้านดิจิทัล” (Digital Literacy) เป็นสิ่งสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำในยุคดิจิทัล”
เมื่อเทคโนโลยีเริ่มส่งผลใหญ่หลวงต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคน ประเด็นในเรื่องการควบคุมหรือกำกับดูแลให้การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับทุกคนอย่างแท้จริงย่อมกลายเป็นสิ่งที่สังคมโลกต้องหาคำตอบ ในเรื่องนี้ ดร.สุทธาภา “AI ก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เริ่มจากการสร้าง “นวัตกรรมใหม่” สู่ “การนำมาใช้ในวงกว้าง” จึงเกิด“ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือการกำหนดกฎระเบียบมาควบคุมดูแล ตัวอย่างหนึ่งคือ รถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1885 กว่าจะเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรมต้องใช้เวลาถึง 20 ปี และกว่าจะมีการออกกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยก็ผ่านไปแล้วถึง 60 ปี ในกรณีของ AI ก็ตามเส้นทางเดียวกันอย่างรวดเร็ว โดยที่แรงผลักดันจากสังคมจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีขอบเขต
รวมถึงภาครัฐที่เข้ามาจับมือกับผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อร่วมมือสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย”
และท้ายที่สุด แม้ถึงวันที่พัฒนาการของ AI ไปได้ไกลถึงขีดสุดแล้ว จะมีสิ่งใดอีกที่ AI ยังไม่สามารถเข้ามาทำแทนมนุษย์ได้ “แน่นอนว่า AI ไม่มีทางมีความสามารถในการคิดเชิงนามธรรม อันนี้ถือเป็นความสามารถที่โดดเด่นของมนุษย์ซึ่งหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรไม่สามารถเทียบเท่าได้” ดร.สุทธาภากล่าวทิ้งท้าย
|