1. พัฒนา NDTP เพื่อเชื่อมโยงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ 2%
1.1 การวางกลยุทธ์ในการพัฒนา National Digital Trade Platform (NDTP) เป็นการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ภาคเอกชนผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการส่งออกทุกคนอยู่ในดิจิทัลแพลตฟอร์มเดียวกัน โดยข้อมูลสำคัญสามารถส่งไปยังเป้าหมายได้แบบเรียลไทม์ผ่านดิจิทัลเทคโนโลยี
1.2 การรื้อกฏระเบียบและกฏหมายการค้าระหว่างประเทศและในประเทศ โดยมีการศึกษากฏหมาย และกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก รวมถึงดำเนินการร่วมกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข เพิ่มเติม หรือยกเลิกกฏหมาย กฏระเบียบที่เกี่ยวข้อง
1.3 เชื่อมต่อกับ National Single Window ของภาครัฐ เพื่อเชื่อมต่อถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับด้านการส่งออก 37 แห่งเข้าไว้ด้วยกัน โดยตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ และดำเนินการเชื่อมต่อเมื่อ NDTP แล้วเสร็จ
1.4 การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยการเจรจากับแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งในอนาคตจะทำให้เกิด ASEAN Single Window ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้รวดเร็วขึ้น โดยแพลตฟอร์มนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้งบริษัทใหญ่และ SME ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ 2% หรือราว ๆ 5,000 ล้านบาท
2. การสร้าง Value Added ให้กับสินค้าและบริการของประเทศไทย คาดการณ์มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ 1%
2.1 การลดต้นทุนเพื่อโอกาสในการแข่งขัน โดยการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น เทคโนโลยีในการจัดงานต่าง ๆ, ระบบที่ช่วยวางแผนและจัดการฐานข้อมูลองค์กร, เครื่องจักรต่าง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าที่ทันสมัย เป็นต้น รวมถึงการใช้พลังงาน โดยใช้ smart energy และการใช้พลังงานทดแทน สิ่งเหล่านี้จะเป็นหลักในการช่วยลดต้นทุนตรงนี้ เพื่อที่เราจะสร้างโอกาสทางการแข่งขันได้
2.2 การเพิ่มผลิตภาพ โดยการใช้ AI เช่น การใช้โรบอทในการผลิตแทนแรงงานคน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการผลิต โดยที่ไม่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลกำลังคน นอกจากนี้ยังควรมีแรงงานคุณภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้สินค้าและบริการได้มาตรฐานสู่สากล
2.3 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผ่านการออกแบบและการวิจัยและพัฒนา การออกแบบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้สินค้าและบริการได้ ซึ่งในส่วนของการวิจัยและพัฒนา ขอนำเสนอให้ภาคเอกชนได้นำความรู้ต่าง ๆ จากภาครัฐมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์
2.4 การสร้างแบรนด์สินค้าและบริการของไทย จะผ่านการสร้าง Story-Telling โดยพูดให้เชื่อมโยงกับภูมิปัญญาไทยหรือเอกลักษณ์ความเป็นไทยต่าง ๆ เพื่อให้สินค้าและบริการของไทยมีความน่าสนใจในระดับโลกมากขึ้น และใช้คอนเซ็ปต์ คุณภาพไทย มาตรฐานโลก ซึ่งหน่วยงานรัฐได้มีการเริ่มใช้คอนเซ็ปต์นี้แล้ว โดยใช้ T Mark ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน สามารถออกไปสู่ระดับสากลได้
3. การหาตลาดใหม่ คาดการณ์มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ 2%
3.1 การเร่งเจรจาข้อตกลงการค้า ในกลุ่ม RCEP กลุ่ม EU และ ประเทศอังกฤษ สำหรับกลุ่ม RCEP หากอินเดียเข้ามาเป็นสมาชิกในข้อตกลงทางการค้า ก็จะช่วยทำให้การส่งออกของไทยโตขึ้นได้ เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่ ส่วนกลุ่มประเทศ EU ที่ได้ทำการค้าเสรีกับประเทศเวียดนาม หากประเทศไทยโน้มน้าวให้กลุ่มนี้มาทำการค้าเสรีได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเวียดนามนั้นเป็นคู่แข่งสำคัญของการส่งออกไทย และสุดท้ายคือการเจรจาการค้ากับประเทศอังกฤษ เนื่องด้วยประเทศอังกฤษกำลังจะออกจากการเป็นสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ช่วงนี้ก็อาจจะเป็นนิมิตรหมายอันนี้ที่ประเทศไทยจะขอเข้าไปเจรจาการค้าเสรีกับประเทศอังกฤษ
3.2 การเร่งเปิดตลาดไปยังกลุ่มที่มีศักยภาพ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศในแถบรัสเซีย และกลุ่มแอฟริกาใต้ เพื่อให้ได้มูลค่าการส่งออกที่โตขึ้น
3.3 การค้าชายแดน โดยเน้นในประเทศกลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา ลาว พม่า และมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่อยากจะให้พิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องการลดหย่อนภาษี และในเรื่องของระเบียบข้อบังคับในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
3.4 การพัฒนาสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อกลับประเทศ โดยใช้ 2 วิธี คือ การนำ Big Data มาช่วยกำหนดยุทธศาสตร์ ซึ่งหากมีข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้า ก็จะสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มได้ โดยสามารถหาข้อมูลได้จากการทำ Social Listening ก็คือการเข้าไปดูความนิยมต่าง ๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือจะมีการขอแชร์ข้อมูลจากทราเวลเอเจนซี่ต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และสุดท้ายคือการขอความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เช่น กระทรวงไอซีที กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการแชร์ข้อมูลร่วมกับภาคเอกชน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการพัฒนาของฝากที่ต้องซื้อ อาจจะต้องมีความร่วมมือกันมากขึ้นในการโปรโมทสินค้าที่ใครมาแล้วจะต้องซื้อกลับไปแน่นอน
หลังจากที่กลุ่มพอเพียงได้เสนอโครงการดังกล่าวนี้แล้ว คณะกรรมการสถาบันได้นำเสนอโครงการนี้ต่อรัฐบาล โดยสถาบันมีความเห็นว่าโครงการดังกล่าวอาจเป็นมุมมองหนึ่งจากภาคธุรกิจ และอาจเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติได้ โดยครั้งนี้ iSAB ได้รับเกียรติจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้ารับฟังการนำเสนอโครงการ พร้อมทั้งให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับด้านการส่งออกไว้ว่า “แนวคิดของผู้ใฝ่รู้ที่ได้นำเสนอมานั้น มีความสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งการทำ NDTP จะเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมระหว่างเอกชนกับเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ แปลว่าต่อจากนี้เมื่อส่งออกสินค้าหรือนำเข้า เราจะใช้ระบบดิจิทัลและอิเล็กโทรนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ง่ายขึ้น ซึ่ง ณ วันนี้แพลตฟอร์มของ ASEAN Single Window ของ 10 ประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว”
“ในเรื่องของการพัฒนามูลค่าสินค้าและบริการ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเป้าหมายหลักเป็น SME เช่น กลุ่ม OTOP และกลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่น นโยบายต่อไปนี้เราต้องมีที่ยืนให้กลุ่มเหล่านี้ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพ โดยจะเน้นกลุ่มตลาด CLMV นอกจากนี้นโยบายเรื่องการสนับสนุน SME ให้มีศักยภาพสู่สากล กระทรวงพาณิชย์ได้มีการจัดอบรม SME ที่มีศักยภาพ ได้มีความรู้เรื่องการส่งออกโดยเฉพาะ เป็นการสร้างนักรบท้องถิ่นที่จะสามารถไปเติบโตในระดับสากลได้” นายจุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
|