ผศ. นพ. วิชัย เตชะสาธิต แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเสริมว่า “เนื่องด้วยโรงพยาบาลมีห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 มีนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และที่สำคัญมีทีมแพทย์และนักเทคนิคการแพทย์ที่ชำนาญการสามารถถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถูกต้องตามหลักการประเมินมาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ซึ่งเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล บำรุงราษฎร์จึงเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งเดียวที่เป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงพยาบาลทั้งหมด 7 แห่งในระดับประเทศ และได้รับใบประกาศนียบัตรให้เป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ บำรุงราษฎร์ยังได้ดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย ผู้ใช้บริการบุคลากรของโรงพยาบาลฯ และชุมชน เพิ่มขึ้นด้วยมาตรการขั้นสูงสุด รวม 8 มาตรการ ได้แก่
1. ลดโอกาสในการรับเชื้อให้น้อยที่สุด โดยสวมใส่เครื่องป้องกันส่วนบุคคล Personal Protect Equipment ตามระดับของอาการและความเสี่ยง ทั้งในส่วนของบุคลากร ผู้ป่วย ผู้มารับบริการ และผู้มาเยี่ยม
2. ป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสและจากละอองฝอยที่มีเชื้ออยู่ในอากาศอย่างเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ และจุดสัมผัสต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อคุณภาพสูง
3. บริการการจัดการทางเข้า-ออก และการใช้พื้นที่โรงพยาบาล และมีการติดตั้งเครื่อง Thermal Imaging Camera เพื่อตรวจจับผู้ที่อุณหภูมิร่างกายเกินกำหนด ครอบคลุมทุกพื้นที่
4. เตรียมความพร้อมกรณีพบผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัย ตามเกณฑ์ของกรมควบคุมโรค โดยมีการเตรียมห้องแยกโรคความดันลบ (negative pressure room) พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล มีคลินิกเฉพาะสำหรับรองรับผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย แยกออกเป็นสัดส่วน รวมถึงมีแคปซูลเฉพาะสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ทันสมัย พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการในกรณีรับย้ายผู้ป่วย
5. บริหารจัดการบุคลากรของโรงพยาบาล โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพ โดยมีคลินิกสุขภาพพนักงาน พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพและการปฏิบัติตัวในช่วงสถานการณืไวรัสโควิด-19
6. จัดฝึกอบรมและให้ความรู้บุคลากรทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และในทุกครั้งที่ภาวการณ์มีการเปลี่ยนแปลง
7. มีการทำความสะอาด และการกำจัดของเสียอย่างเหมาะสม เป็นไปตามหลักวิชาการ
8. จัดระบบการรายงานข้อมูลข่าวสารภายในและระหว่างหน่วยงานสาธารณสุข โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์เพื่อติดตาม เฝ้าระวัง และประชุมกับผู้ชำนาญการเพื่อปรับแผนรองรับสถานการณ์ตามความเหมาะสม รวมถึงมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ข้อมูลและระเบียบข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่จำเป็นให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์กร
สืบเนื่องจากการรับรองให้บำรุงราษฎร์เป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงพยาบาลทั้งหมด 7 แห่งที่สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้นั้น ทำให้องค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และเดินทางมาเพื่อขอตรวจไวรัสโควิด-19 ทั้งที่ยังไม่มีความจำเป็น ผศ. นพ. วิชัย เตชะสาธิต ขออธิบายว่า การตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลเองนั้น ต้องขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจให้เฉพาะผู้ที่อยู่ในข่ายสงสัยระดับปานกลางและในระดับสูงที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่ามีความจำเป็นในการตรวจเท่านั้น เนื่องด้วยปัญหาที่พบคือ จำนวนชุดตรวจที่ใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของห้องปฏิบัติการเครือข่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 7 แห่ง มีจำนวนจำกัดอย่างมาก จึงจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่น่าสงสัยเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันการขาดแคลนของชุดตรวจในยามจำเป็น จึงขอสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่หน่วยงาน บริษัทต่างๆ รวมถึงประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เนื่องด้วยที่ผ่านมา พบว่าบางคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง มีความต้องการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ผู้ที่ยังไม่มีไข้ ไม่มีอาการแล้วมาตรวจแล็บ ซึ่งผลตรวจในขณะนั้นจะออกมาเป็นลบ (Negative) แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะไม่มีเชื้อไวรัสโควิด-19 จนกว่าจะผ่านพ้นระยะฟักตัวจนครบ 14 วันไปแล้ว คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ เมื่อกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้แยกตัวเฝ้าสังเกตอาการตนเองจนครบ 14 วัน ใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก หรือออกไปในที่ชมุชน หรือพบปะผู้คน กินอาหารปรุงสุก ยึดหลักสุขอนามัยพื้นฐานง่าย ๆ คือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เป็นต้น และหากเริ่มมีอาการป่วยให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางตามความเป็นจริง
|