ด้าน ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษทางอากาศ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่า ในช่วงนี้ ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้เริ่มคลี่คลายแล้ว ความเข้มข้นเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของ PM2.5 เริ่มลดลงอยู่เกณฑ์มาตรฐานของประเทศไทย คือ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แล้ว และจะลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่หน้าร้อนซึ่งมีสภาพอากาศที่เอื้อต่อการกระจายตัวของ PM2.5 ทำให้ความเข้มข้นของ PM2.5 ลดลง อย่างไรก็ตาม ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะกลับมาอีกในปลายปีนี้ หากยังไม่มีมาตรการที่จะลดการระบาย PM2.5 จากแหล่งกำเนิดสำคัญของ PM2.5 ในช่วงวิกฤตที่เป็นรูปธรรม คือ รถดีเซล โดยเฉพาะรถบรรทุกดีเซลขนาดใหญ่และรถโดยสารดีเซลขนาดใหญ่ และการเผาชีวมวลประเภทต่าง ๆ ในที่โล่ง
ถึงแม้ว่า ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะเริ่มคลี่คลายลงแล้วก็ตาม จังหวัด ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย 9 จังหวัด กำลังเริ่มประสบปัญหา PM2.5 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และพบว่า PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนมีความเข้มข้นเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงกว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมาร์และประเทศลาว ทั้งนี้ แหล่งที่มาของ PM2.5 ที่สำคัญ คือ การเผาชีวมวลประเภทต่าง ๆ เช่น การเผาป่า การเผาวัสดุชีวมวลที่เหลือจากการทำการเกษตรชนิดต่าง ๆ เป็นต้น และยังมี PM2.5 ที่ลอยข้ามเขตแดนจากประเทศเมียนมาร์และประเทศลาวมาเพิ่มเติม นอกจากนี้ ภาคเหนือตอนบนในช่วงนี้ก็มีสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของ PM2.5 ดังเช่นที่เกิดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นไปอีก ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยจะเริ่มคลี่คลายในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เมื่อมีการเผาชีวมวลลดลงและมีสภาพอากาศที่เอื้อต่อการกระจายตัวของ PM2.5
ในส่วนของภาคใต้ ช่วงนี้ยังมีคุณภาพอากาศดีไปจนถึงเดือนสิงหาคมซึ่งเข้าสู่หน้าแล้งของทางภาคใต้ ก็จะเริ่มมีระดับ PM2.5 สูงขึ้น โดยแหล่งที่มาของ PM2.5 ที่สำคัญ คือ การเผาป่าเพื่อปลูกปาลม์ในประเทศอินโดนีเซีย และการเผาป่าพรุเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้งของภาคใต้ ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่ภาคใต้จะมีความรุนแรงน้อยกว่าภาคเหนือตอนบนและกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มาตรการ/แนวทางการแก้ไขควรแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ มาตรการในระยะยาว ได้แก่ 1) การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้มีสารกำมะถันไม่เกิน 10 ppm 2) การบังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษสำหรับรถใหม่ ระดับ Euro 5/V และ Euro 6/VI และ 3) การลดการเผาชีวมวลประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้เป็น”เกษตรปลอดการเผา” ด้วยการสร้างมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น การนำไปใช้ปรับปรุงดินโดยการไถฝังกลบเพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดินที่ใช้ในการเพาะปลูก การใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน เป็นต้น การใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ โดยการรวมกลุ่มเกษตรกรในรูปกลุ่มสหกรณ์เพื่อเป็นเจ้าของร่วมกันของอุปกรณ์เครื่องจักร มีการจัดลำดับคิวของการมายืม/เช่าอุปกรณ์ไปใช้ และนำรายได้ที่เกิดจากการให้เช่ามาใช้ ในการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลเหล่านั้นหรือซื้อทดแทนใหม่ในอนาคต ซึ่งการลงทุนเบื้องต้นรัฐอาจจะต้องเข้าไปมีส่วนช่วยเกษตรกร มาตรการระยะยาวเหล่านี้จะช่วยทำให้ PM2.5 ลดลงในระยะยาวและอาจจะต้องใช้เวลายาวนานมากกว่า 10 ปี ขึ้นไป ถึงจะเห็นผล ดังนั้นในช่วงวิกฤตที่สภาพอากาศไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของ PM2.5 จะต้องมีมาตรการในช่วงวิกฤตที่ลดการระบาย PM2.5 จากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ เป็นพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงอื่น ๆ ของปี เช่น 1) การปรับเปลี่ยนรถบรรทุกดีเซลขนาดใหญ่ ทั้งรถ 6 ล้อ และรถ 10 ล้อ และรถโดยสารดีเซลขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง (รถทัวร์นักท่องเที่ยว รถรับส่งพนักงานบริษัท/โรงงาน) ให้เป็นรถปลอดควัน เช่น รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลง รถที่ใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนมอเตอร์ และรถมาตรฐาน EURO VI ที่มีอุปกรณ์กรองฝุ่นและอุปกรณ์กำจัดก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (ต้นเหตุของ PM2.5 ทุติยภูมิ) ซึ่งจะทำให้รถเหล่านี้ยังสามารถใช้งานอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหา PM2.5 2) การอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโดยไม่ต้องเข้ามาที่สำนักงานเพื่อลดการจราจรที่ติดขัด 3) มาตรการอื่น ๆ ที่ลดการจราจรติดขัดให้น้อยลง ทั้งนี้ทั้งนั้น มาตรการที่จะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริงและเป็นที่ยอมรับได้ต้องเป็นมาตรการที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
· PM2.5 กระทบเศรษฐกิจ 3,200–6,000 ล้านบาท
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน (PM2.5) ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในไทยและนับวันสถานการณ์จะยิ่งรุนแรงขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว อีกทั้งมีผลในเชิงภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งการวัดและประเมินผลกระทบอย่างครอบคลุมในทุกมิติเป็นเรื่องยาก สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์จากค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นจากการปรับพฤติกรรมของประชาชน ที่สำคัญคือ 1.ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งการป้องกันผ่านการจัดหาซื้อหน้ากากอนามัย/เครื่องฟอกอากาศ และการรักษาด้วยการไปพบแพทย์ 2.ผลกระทบจากการเปลี่ยนแผนของนักท่องเที่ยวทั้งจุดหมายและกิจกรรมที่ทำระหว่างการท่องเที่ยว และ 3.ผลกระทบอื่นๆ เช่น การหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ร้านอาหารหรือตลาดนัดริมทาง ทั้งนี้ จากการเบื้องต้นในประเมิน พบว่า ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจาก PM2.5 ของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจคิดเป็นมูลค่าราว 6 พันล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน ซึ่งปัญหานี้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ก็จะยิ่งปะทุความรุนแรงขึ้นอีกในทุกๆ ปี จึงนับเป็นโจทย์ท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
· ชูงานวิจัย–นวัตกรรมแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการผลักดันให้การวิจัยและนวัตกรรมเป็นรากฐานในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย ในประเด็นเรื่องคุณภาพอากาศและ PM2.5 วช. ได้สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมภายใต้แผนงานวิจัยท้าทายไทย : ประเทศไทยไร้หมอกควัน (Haze Free Thailand) ตั้งแต่ปี 2559 มุ่งเน้นให้เกิดแนวทางการแก้ปัญหาฝุ่นละออง/หมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยมีผลงานเชิงประจักษ์ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนลักษณะรูปแบบทางการเกษตรกรรม ข้อเสนอเชิงนโยบาย การพัฒนาเครื่องวัดค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) “DustBoy” และระบบข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเบ็ดเสร็จ (NRCT AQIC) ปัจจุบัน วช. เดินหน้าสู่การบูรณาเพื่อลดปัญหาฝุ่นด้วยกลไก Quadruple Helix ผ่านกิจกรรมการแข่งขันแก้ไขปัญหาร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ การหาแนวทางการจัดทำมาตรฐานเครื่องวัดฝุ่น PM2.5 รูปแบบ Low Cost Sensor จากงานวิจัยร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) รวมทั้งสร้างฐานข้อมูล Big Data ในการทำวิจัยเพื่อคาดการณ์การเกิดค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้งานวิจัยในประเด็นนี้ก้าวทันสถานการณ์ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม
· TBCSD เปิด 6 ข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหา PM 2.5
ปิดท้ายกันที่ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา เลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่าแนวทางความร่วมมือของสมาชิก TBCSD เพื่อร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่จะเกิดขึ้นผ่านมาตราการ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1) มาตรการที่สมาชิกดำเนินการเองโดยสมัครใจ 2) มาตรการที่ขอความร่วมมือจากสมาชิกในช่วงวิกฤติ (ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม) และ 3) การสร้างการรับรู้แก่พนักงานขององค์กรและประชาชนทั่วไป (เพื่อสร้างแนวร่วมในการแก้ไขปัญหา) ดังนี้ มาตรการที่ดำเนินการเองโดยสมัครใจ สมาชิก TBCSD ดำเนินการตรวจเช็คสภาพรถและเครื่องยนต์อยู่เสมอ (Engine Efficiency) การบรรทุกและขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ (Loading Efficiency) และการมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ (Driving Behavior) ในส่วนของมาตรการที่ขอความร่วมมือจากสมาชิกในช่วงวิกฤติ สมาชิก TBCSD เลือกใช้น้ำมันที่เป็น Bio-based (น้ำมัน B ต่าง ๆ) หรือ ก๊าซธรรมชาติ (CNG) หรือน้ำมันที่มีสารกำมะถันต่ำ (ไม่เกิน 10 ppm) หรือ ตามมาตรฐาน Euro 5 เพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า ลดการนำรถบรรทุกดีเซลขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ลดการใช้รถใช้ถนน และส่งเสริมการทำเกษตรที่ไม่เผาชีวมวล ในส่วนของการสร้างการรับรู้แก่พนักงานขององค์กรและประชาชนทั่วไป สร้างการรับรู้ถึงปัญหา ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกและใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลถึงคนได้ในวงกว้างและรวดเร็ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา PM2.5 นอกจากนี้ TBCSD ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นธุรกิจชั้นนำของประเทศเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยังได้มีการคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และลดผลกระทบในทุกด้านทั้งในช่วงวิกฤตและในระยะยาว
ในส่วนของ TBCSD ได้รวบรวมข้อเสนอแนะมาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 จากกลุ่ม TBCSD เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และหลักการ 12 มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ให้เป็นรูปธรรม 2. สนับสนุนและสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อย PM2.5 3. เร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 4. ส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยที่วิเคราะห์ต้นทุนในทุกมิติที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา PM2.5 ให้เป็นรูปธรรม 5. พัฒนาเครือข่ายการตรวจวัด PM2.5 ให้เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และ 6.การสื่อสารข้อมูล PM2.5 ให้เป็นเอกภาพ พร้อมสร้างแนวร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป อันนำไปสู่การผลักดันนโยบายที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการจัดการ PM2.5 ของประเทศต่อไป
ข้อเสนอแนะจาก TBCSD ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของภาคธุรกิจไทยในการประสานพลังร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา PM2.5 เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง
|