“จากข้อมูลในอดีตของดัชนี S&P500 หรือดัชนีหุ้นในตลาดอื่นๆ จะเห็นว่าช่วงที่ตลาดมีการปรับลดลงอย่างมากและเกินกว่า 20% (Bear market) เกิดช่วงสั้นๆ เช่น ปี 2008 จากสถานการณ์ Hamburger crisis ซึ่งระดับการปรับตัวลดลงจะค่อนข้างรุนแรงอยู่ในช่วง 20 - 65%* และภายหลังจุดสิ้นสุด Bear Market จะตามมาด้วยตลาดขาขึ้นที่กินระยะเวลายาวนานกว่า และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าช่วง Bear Market หลายเท่า และอาจกล่าวได้ว่าการเข้าลงทุนในช่วงต่ำสุดของ Bear Market จะให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงมาก ถ้ามีการลงทุนระยะยาว ซึ่งในภาวะการณ์เช่นนี้นักลงทุนสามารถแสวงหาโอกาสการลงทุนจากวิกฤติการณ์ปัจจุบันได้” (*ที่มา : JPMorgan, ณ วันที่ 20 มี.ค. 2563)
“บลจ.ยูโอบี เล็งเห็นโอกาสทางการลงทุนขณะนี้ โดยวิเคราะห์จากปัจจัยหนุนต่างๆ ได้แก่ ธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก ที่ใช้นโยบายทางการเงินโดยการลดดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในปริมาณที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และประเทศไทยในส่วนภาครัฐ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง ที่ได้มีการออกมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจและการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การอัดฉีดสภาพคล่อง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบด้านลบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวได้ อีกทั้งหากทั่วโลกมีการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการแก้ต้นเหตุของปัญหา ยิ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสามารถฟื้นตัว และเป็นแรงส่งต่อตลาดหุ้นไทยที่จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระยะต่อไป”
“ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือระดับราคาของหุ้นสำคัญต่างๆ ปรับตัวย่อลงและอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตนี้ หลักทรัพย์บางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาด ส่งผลให้ราคาปรับลดลงมากกว่าที่ควรจะเป็น การเข้าลงทุนและทยอยสะสมหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงถือเป็นโอกาสที่น่าลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งจากสถิติในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในหุ้นไทยและถือเป็นระยะเวลา 10 ปี นั้น นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นจึงเป็นจังหวะสำหรับการเริ่มลงทุนในกองทุน UOBEQ-SSF และ UOBEQ-SSFX ด้วยเงื่อนไขของกองทุนที่ต้องถือครองระยะเวลา 10 ปี จะทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทน จากการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน และตอบโจทย์การลงทุนเพื่อการออมในระยะยาวและเพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีแก่นักลงทุน”
“บลจ. ยูโอบี ได้คัดสรรพอร์ตการลงทุนของกองทุน UOBEQ-SSF และ UOBEQ-SSFX โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเหมือนกองทุนเปิด ยูโอบี หุ้นระยะยาว (UOBLTF) ที่เรียกได้ว่าเป็นกองทุน Flagship ของบลจ. ยูโอบี โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซึ่งทาง บลจ. ยูโอบี มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพดังกล่าวนั้น จะทำให้กองทุน UOBEQ-SSF และ UOBEQ-SSFX สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจสำหรับผู้ลงทุนเพื่อการออมในระยะยาวได้”
กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารทุน เพื่อการออม (UOBEQ-MSSF) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารทุน เพื่อการออม (หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม - UOBEQ-SSF) ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ตั้งแต่ปี 2563 – 2567 และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ในปีที่เข้าลงทุน โดยสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี ทั้งนี้เมื่อรวมกับเงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ประกันชีวิตแบบบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี*
2. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารทุน เพื่อการออม (หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมพิเศษ - UOBEQ-SSFX) ระยะเวลาลงทุนภายในวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 ผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งเพิ่มจากเงินลงทุนในกองทุน SSF แบบปกติ โดยทั้งกองทุน UOBEQ-SSF และ UOBEQ-SSFX นั้นมีการกำหนดเงื่อนไขถือครองหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่เข้าลงทุน*
บลจ.ยูโอบี เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก สำหรับกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารทุน เพื่อการออม (หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม - UOBEQ-SSF) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารทุน เพื่อการออม (หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมพิเศษ - UOBEQ-SSFX) ระหว่างวันที่ 1 – 8 เมษายน 2563 กองทุนความเสี่ยงระดับ 6 โดยนโยบายการลงทุนของกองทุนจะลงทุนในตราสารทุนโดยมี net exposure ในตราสารดังกล่าว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ รวมถึงกอง ETF กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ/หรือหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่จะนิยามใหม่ในอนาคต โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม นโยบายการลงทุนจากหนังสือชี้ชวน) ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่บลจ. แต่งตั้ง และงานบริการนักลงทุน บลจ. ยูโอบี โทร 0-2786-2222
|