ทั้งนี้ บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูป ประกอบด้วย ระบบการพิมพ์กราเวียร์ ที่มีคุณภาพ ความละเอียดสูง รวดเร็วและประหยัดเวลา และระบบการพิมพ์แบบดิจิตอล เป็นระบบพิมพ์ที่ใช้เทคนิคการสร้างภาพด้วยระบบเลเซอร์ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพและความละเอียดสูง และสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว (Made to order) และ 2) ธุรกิจผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ กลุ่มแม่พิมพ์ (Printing Cylinder) โดยบริษัทฯ รับออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ เพื่อใช้ผลิตฉลากหดรัดรูปในระบบการพิมพ์แบบกราเวียร์ และกลุ่มฟิล์มยืด (Stretch Film) ซึ่งบริษัทฯ ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์ฟิล์มยืด ที่ใช้ในการพันพาเลทและห่อรัดสินค้าบนพาเลทเพื่อลำเลียงขนส่งให้กับลูกค้า รวมถึงจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวเป็นผู้นำด้านผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ที่มุ่งตอบสนองความพึงพอใจลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตฟิล์มหดรัดรูปในกลุ่มฟิล์มใสที่มีความหดตัวสูง (POF Shrink Film) และเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไปสู่กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) รวมถึงบริหารจัดการกำลังการผลิตของเครื่องจักรผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป ที่มีกำลังการผลิตรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 อยู่ที่มากกว่า 125 ล้านเมตรต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าใช้ฉลากฟิล์มหดรัดรูปแก่ลูกค้า ทั้งด้านปริมาณและความรวดเร็วที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ต่อไป
ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปแก่ผู้ผลิตสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของไทย ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เครื่องใช้ในครัวเรือนและเคมีภัณฑ์ เช่น บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ บริษัทเบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.ชริ้งเพล็กซ์ (ประเทศไทย) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 220 ล้านบาท แบ่งเป็น 440 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 160 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมกับลงทุนในเครื่องจักร รองรับการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป
|