ทั้งนี้ จากข้อมูลฝ่ายวิจัยของธนาคารกรุงศรีฯ คาดว่าในปีนี้ งานก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัวร้อยละ 2-3 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเร่งดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางด้านคมมนาคมและสาธารณูปโภค ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เป็นต้น สอดคล้องบทวิจัยของ SCB EIC ระบุว่า อุปสงค์งานก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากงบลงทุนรวมของหน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน และกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่มีเม็ดเงินลงทุนราว 2.34 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น งานก่อสร้างและบำรุงถนน เป็นต้น
“ภาครัฐยังเดินหน้าลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคมและสาธาณูปโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสของ CIVIL ในการเข้าไปรับงานจากภาครัฐเพิ่มเติม และเปิดโอกาสใหม่ในการรับงานก่อสร้างจากบริษัทพันธมิตรเอกชน พร้อมเพิ่มอัตราการจ้างงานหลังจากวิกฤติ COVID-19 โดยนำจุดแข็งด้านบุคลากรที่มีความชำนาญงานวิศวกรรมโยธาที่หลากหลายและซับซ้อน มาผนวกกับแนวคิดบริหารโครงการก่อสร้างแบบสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการให้บรรลุเป้าหมายทั้งในเชิงคุณภาพ ระยะเวลา และบริหารต้นทุนได้ดีที่สุด เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนาบุคลากรเพิ่มความชำนาญงานในวิศวกรรมโยธา และลงทุนเทคโนโลยีเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนเครื่องจักรติดตั้งชิ้นส่วนสำเร็จ หรือ Launcher ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรของบริษัทฯ ออกแบบและสร้างเครื่องจักร เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคหลากหลายประเภท ช่วยลดปริมาณแรงงานและลดระยะเวลาเมื่อเทียบกับการใช้วิธีการก่อสร้างแบบเดิมได้ 2-3 เท่า
|