ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2563) บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวม 3,000.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และทำกำไรสุทธิได้ถึง 786.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
“ธุรกิจของเรายังมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ต้องเจอกับวิกฤต COVID-19 แต่เราก็ยังสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยในไตรมาส 2/2563 ถือเป็นสถิตินิวไฮอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ดี และทำให้เราทำกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกเติบโตสวนกระแสปัจจัยลบอีกด้วย” นาย วิริทธิ์พล กล่าว
ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีแผนการขยายกองเรือในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูง อย่างน้อย 2 ลำ ได้แก่ เรือต่อใหม่ในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ จำนวน 1 ลำ หลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการรับเรือใหม่ดังกล่าวมีลูกค้ารอใช้บริการเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กลุ่มธุรกิจ FSU จะเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่มีอยู่อีกมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PRM ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มธุรกิจร่วมค้าซีเอ็นเอ็นซี ในสัดส่วนประมาณ 10% โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการงานก่อสร้างงานทางทะเล ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญากับการท่าเรือเรือแห่งประเทศไทยในเร็วๆ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจและถือเป็นโอกาสที่ดีของ PRM ในการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต |