นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มครึ่งหลังของปี 2563 มั่นใจเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งการเดินหน้ากลยุทธ์ Origin Next Normal ต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโด, การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งด้าน Reaching Solution และ Living Solution พร้อมเปิดตัวบ้านจัดสรร 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ เบลกราเวีย (BELGRAVIA) เจาะตลาดระดับลักชัวรี่ และไบรตัน (BRIGHTON) เจาะตลาด Gen Y-Z ขยายเซ็กเมนท์ใหม่ๆ ขณะเดียวกัน มีโครงการรอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีกกว่า 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,700 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ ทั้งโครงการบ้านจัดสรร และโครงการ Non-JV พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งหลังของปี เพิ่มอีก 10 โครงการ และยังมีโครงการ JV ที่จะสร้างเสร็จใหม่ พร้อมทยอยโอนอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช (KnightsBridge Prime Onnut) เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/2563 และโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน (KnightsBridge Space Ratchayothin) เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 4/2563 มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 17,100 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการ JV มียอดรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) รออยู่แล้วถึงกว่า 90% ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2563 บริษัทมั่นใจการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่ยอดโอน 14,000 ล้านบาท และรายได้รวม 16,000 ล้านบาท
“ผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2563 ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมากสำหรับทุกองค์กร แต่ด้วยจุดแข็งของออริจิ้นที่ปลูกฝังแนวคิดแบบ Disruptor Mindset ให้แก่พนักงานทุกคน เราพยายามคิดให้มากกว่า คิดให้ละเอียดกว่า และคิดให้แปลกใหม่กว่า หรือ Think Beyond ทำให้เราจึงยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วสามารถก้าวผ่านทุกสถานการณ์ มีกลยุทธ์ มีโซลูชั่นใหม่ๆ ตอบโจทย์ตลาดเชิงรุก ขณะเดียวกันเรายังควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2 ยังคงเติบโตโดดเด่น” นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 74 โครงการ เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 115,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
|