นายพชร ยังระบุถึงขั้นตอนเบื้องต้นที่องค์กรธุรกิจสามารถนำหลักการ Agile ไปประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาดในยุคการแพร่กระจายของโควิด-19 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. วางกรอบเป้าหมาย ซึ่งนับเป็นขั้นตอนลำดับแรก โดยตั้งอยู่บนความเข้าใจเดียวกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยการตั้งเป้าหมายและวางแนวทางการทำงานเบื้องต้น ทั้งการสร้างทีมงาน วิธีการทำงานของนักการตลาดหรือแนวทางการสร้างแคมเปญ เพื่อนำไปสู่การกำหนดรูปแบบการทำการตลาด และการนำแนวคิดไปปฏิบัติจริง
2. สร้างทีม Agile Marketing เฉพาะกิจ ซึ่งมีความแตกต่างจากทีมงานอื่นๆ ภายในองค์กร โดยประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่มากประมาณ 8 คน ที่มาจากหลายสายงานและมีทักษะแตกต่างกัน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจต่างๆ และการทำงานประสานงานกันรวดเร็วและคล่องตัว โดยหน้าที่หลักของทีมคือการสร้าง ทดลองแคมเปญการตลาดใหม่ๆ และนำแคมเปญที่ประสบความสำเร็จไปต่อยอดปรับใช้แคมเปญอื่นๆ ในอนาคต โดยอ้างอิงตามข้อมูลผลลัพธ์จากแคมเปญก่อนหน้า
3. เริ่มทำการตลาดจากแคมเปญเล็กๆ จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางที่เหมาะสมได้ทันการณ์หากมีแนวโน้มยังไม่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย อีกทั้งการทำแคมเปญเล็กจะใช้งบประมาณที่ไม่มากนัก และควรมีระยะเวลาการทำแคมเปญไม่เกิน 2 สัปดาห์แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยเบื้องต้นธุรกิจสามารถเริ่มจากการเลือกทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นการทดลองก่อน
4. วัดและประเมินผล โดยอ้างอิงจากข้อมูลผลลัพธ์ต่างๆ ที่เก็บรวบรวมได้ในการทำแคมเปญ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจรู้ว่าแคมเปญแบบไหนเหมาะสมที่สุดและได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เพื่อนำไปพัฒนาแคมเปญในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การวัดและประเมินผลแคมเปญยังช่วยค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการขยายตัวให้องค์กรต่อไป
ขณะเดียวกัน นายพชรยังแนะเคล็ดลับในการทำการตลาดแบบ Agile ให้ประสบความสำเร็จเพิ่มเติม โดยธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการ 3 ข้อ อาทิ การเรียนรู้สิ่งใหม่จากการทดลองทำจริง ซึ่งเป็นการนำความคิดต่างๆ ไปลองปฏิบัติจริง โดยไม่ต้องรอให้ความคิดดังกล่าวสมบูรณ์แบบ จากนั้น ประเมินผลลัพธ์จากข้อมูลที่ได้ และนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้พัฒนาแคมเปญในอนาคต นอกจากนี้ องค์กรยังควรเพิ่มการประสานงานและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหลายฝ่าย ทั้งระหว่างฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายปฏิบัติการ และฝ่ายขาย เพื่อให้ฝ่ายการตลาดได้เข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยให้สามารถออกแบบแคมเปญการตลาดได้ตรงกับความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ขณะที่หลักการสุดท้าย คือการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่กำลังเกิดขึ้นมากกว่าคาดการณ์ ซึ่งเน้นที่การเข้าใจปัญหาและความต้องการที่เกิดขึ้นจริงของลูกค้า หลังจากนั้นนำปัญหาดังกล่าวมาคิดแคมเปญที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ แทนการทำแคมเปญโดยยึดตามคาดการณ์ล่วงหน้าที่อาจล่าช้าเกินไปและไม่ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
“หากธุรกิจต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในโลกที่พฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนไว การเปลี่ยนแนวทางทำการตลาดแบบเดิม มาเป็นการทำการตลาดแบบ Agile ซึ่งมีความคล่องตัว จะช่วยให้องค์กรพร้อมรับมือเทรนด์ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในตลาด” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย
|