กองทุนรวม KBSPIF เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก
ชูโครงสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ภาครัฐระยะยาว ประมาณ 20 ปี |
|
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF นำหน่วยลงทุนเข้าเทรดเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชูจุดเด่นของกองทุนฯ เข้าลงทุนในสิทธิประโยชน์จากการประกอบกิจการจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (KPP) โดยกองทุนฯ จะมีรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ในอัตราร้อยละ 62 ของรายได้ตามสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บมจ.น้ำตาลครบุรี รวม 25.5 เมกะวัตต์ ตลอดอายุสัญญาประมาณ 20 ปี พร้อมชูประมาณการจ่ายเงินปันส่วนแบ่งแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรกอยู่ที่ 8.95% และอัตราผลตอบแทนภายในที่ประมาณ 7.00%*
|
|
|
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน KBSPIF เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF ขนาด 2,800 ลบ. ได้นำหน่วยลงทุนเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยใช้ชื่อย่อ ‘KBSPIF’ ในการซื้อขายบนกระดานหลักทรัพย์ฯ และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยกองทุน KBSPIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ได้ปรับปรุงแล้ว คาดว่ากองทุนฯ มีการปันส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยปีแรก มีประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.95 (จากเงินปันผลร้อยละ 6.24 และจากเงินลดทุนร้อยละ 2.71) และมีประมาณการอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 7.00*
|
|
|
ทั้งนี้ กองทุน KBSPIF จะนำเงินที่ระดมทุนได้ มาเข้าลงทุนในสิทธิประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของ KPP ที่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลของกลุ่มน้ำตาลครบุรี ซึ่งกองทุนฯ จะมีรายได้จากส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 62 ตามสัญญาประเภท Firm กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ ที่คิดอัตราค่าไฟฟ้า 2.0577 บาทต่อกิโลวัตต์ และกลุ่มน้ำตาลครบุรี จำนวน 3.5 เมกะวัตต์ ที่คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับ 2.90 บาทต่อกิโลวัตต์ เป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปี ซึ่งจะทำให้มีความมั่นคงในกระแสเงินสด และรายได้ให้กับกองทุนฯ
|
|
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า กองทุน KBSPIF มีจุดเด่นด้านโครงสร้างการแบ่งกระแสรายได้เข้ากองทุนรวมฯ มีความผันผวนต่ำจากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ กฟผ. และ KBS อีกทั้ง กองทุน KBSPIF ไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายการดำเนินงานโรงไฟฟ้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าซ่อมแซมและการบำรุงเครื่องจักรของโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ กองทุน KBSPIF มีกระแสรายได้ที่มั่นคง ประกอบกับกองทุนฯ ยังปิดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการเข้าทำสัญญากับ KBS ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบมาป้อนให้แก่โรงไฟฟ้าตลอดอายุสัญญากองทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนฯ เข้าลงทุน จะมีวัตถุดิบที่เพียงพอสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่นักลงทุนได้ ทำให้ธนาคารได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุนเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
|
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายอย่างครบวงจร กล่าวว่า กลุ่มน้ำตาลครบุรี มีความเชื่อมั่นศักยภาพของสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของ KPP ที่กองทุน KBSPIF เข้าลงทุน และมั่นใจว่า โรงไฟฟ้าของ KPP จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนตลอดอายุสัญญา พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาด 18 เมกะวัตต์ และมีแนวคิดจะนำโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่เพื่อเข้าระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย
|
|
|
|
|
|
|
|
|