ไม่เพียงแต่เจ้าของพื้นที่ค้าปลีกที่พยายามปรับตัว ซีบีอาร์อียังพบว่าร้านค้าปลีกที่เคยเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่ ปัจจุบันร้านค้าเหล่านั้นมีความคุ้นเคยกับการใช้แพลตฟอร์มบนออนไลน์และมีแนวโน้มที่จะหันไปทำทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากเกิดวิกฤติ ทำให้เกิดการทบทวนว่าอาจจะลดขนาดหรือยกเลิกพื้นที่เช่าที่มีหลายแห่งในปัจจุบัน
จากการสำรวจตลาดพื้นที่ค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิก Asia Pacific Retail Flash Survey โดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและร้านค้าปลีกอื่นๆ ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ในการใช้บริการ ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดสาขาน้อยลงหรือเพิ่มสาขาเพียงไม่กี่แห่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
“เมื่อสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ การปรับลดขนาดพื้นที่เช่าเดิมจะกลายเป็นแนวทางที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้เช่าจะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง ห้างสรรพสินค้าจึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบการจัดวางผังร้านค้าและจัดส่วนผสมของผู้เช่าแต่ละประเภท (Tenant Mix) ให้ละเอียดและรอบคอบมากขึ้น” นางสาวจริยากล่าว
การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมและเร่งการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ไปในเวลาเดียวกันด้วย ผู้พัฒนาโครงการค้าปลีกอาจต้องทบทวนแนวคิดในการพัฒนาห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่เพื่อให้เหมาะกับพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับตัวให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคตได้ดีขึ้น ความสะดวกสบาย สุขอนามัย ความยืดหยุ่น และระบบออนไลน์จะมีความสำคัญมากขึ้นในการพัฒนาโครงการค้าปลีกในอนาคตยุคหลังโควิด-19
ซีบีอาร์อีเชื่อว่า ในอนาคตการบุกตลาดอี-คอมเมิร์ซจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ธุรกิจทั้งออนไลน์และออฟไลน์ต้องทำเพื่อให้อยู่รอดได้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกของไทยต้องอาศัยเวลาในการฟื้นตัวอย่างเต็มที่เว้นแต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด เนื่องจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งโดยเฉพาะที่อยู่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ต้องพึ่งพากำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
|