ทั้งนี้ งาน “GCNT FORUM 2020: Thailand Business Leadership for SDGs” จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ตามรูปแบบการประชุมอย่างยั่งยืน (Sustainable Event) โดยสอดคล้องกับแนวทางของสานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. (Thailand Convention & Exhibition Bureau หรือ TCEB) และสหประชาชาติ โดยภายในงานประกอบด้วยเวทีเสวนาใน 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิมนุษยชนและแรงงาน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการส่งเสริมบรรษัทภิบาลและการต่อต้านทุจริต โดยเวทีแรกเป็นเวทีเสวนา “ผู้นำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามวิถีใหม่” ได้หยิบยกประเด็นการดำเนินชีวิตท่ามกลาง COVID-19 ที่จำเป็นต้องมีการปรับตัวในหลายมิติ ทั้งบุคคลและองค์กร ธุรกิจเองก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งองค์กรชั้นนำ ได้แก่ อินโดรามาเวนเจอร์ส บางจาก กลุ่มมิตรผล และสหประชาชาติ ได้แบ่งปันมุมมองในฐานะผู้นำองค์กร ที่ต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กรพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยย้ำว่าการผลักดันของผู้นำองค์กร คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ โดยเฉพาะการสื่อสารไปยังพนักงานทุกระดับอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง ส่วนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ยังมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรและชุมชนในพื้นที่ที่องค์กรเข้าไปดำเนินธุรกิจ การใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการด้านความยั่งยืนที่สำคัญของแต่ละองค์กร อาทิ การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยการรีไซเคิลในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและพลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มทักษะออนไลน์ อย่างไรก็ตาม วิถีผู้นำเพื่อความยั่งยืน จำเป็นต้องสร้างพันธมิตร และในขณะที่องค์กรและประเทศพัฒนาไปข้างหน้า ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ การผนึกกำลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และฟันฝ่าผลกระทบจากวิกฤติการณ์ต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันนั้น มี 3 ปัจจัยที่สำคัญ คือ การสร้างความเท่าเทียม การปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อม และการสร้างโอกาสให้คนในสังคมได้มีส่วนร่วม
สำหรับเวทีการเสวนาด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ได้กล่าวถึงวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกภาคธุรกิจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและรายได้ เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องจากพนักงานสู่ครอบครัวและชุมชน และสุดท้ายส่งผลในระดับประเทศ โดยสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การปรับตัวต้องดูจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ให้มีรายได้ต่อเนื่อง ได้รับการดูแลทั้งในแง่การดำรงชีวิตและการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยควรมีคู่มือการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุม ภาคเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เกษตรกรรม ทั้งนี้ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย มีแผนที่จะร่วมมือกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จัดตั้ง Business & Human Rights Academy และขยายการส่งเสริมเรื่องนี้ไปยังธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไป
สิ่งแวดล้อมยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่มีการหารือในเวทีนี้ โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด รีคอฟ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (RECOFTC) เอ็นไวรอนแมน (Enviroman) และ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ร่วมพูดคุย และเห็นตรงกันว่าองค์กรต่างๆ ต้องหันมาร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เนื่องจากธรรมชาติพูดเองไม่ได้ เราจึงต้องเป็นตัวแทนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนไปสู่ Green Society และปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายภายใต้ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จำกัดไว้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ทุกฝ่ายควรพลิกวิกฤต COVID นี้ให้เป็นโอกาสของธรรมชาติในการฟื้นตัวแบบสีเขียว (Green Recovery) โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ต้องคำนึงถึงความสมดุล ระหว่างการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจกับการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เดินไปคู่กัน
ปิดท้ายด้วยเวทีด้านการส่งเสริมบรรษัทภิบาลและการต่อต้านทุจริต โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เสนอแนะว่า ทุกอย่างต้องเริ่มที่คนก่อน จึงจะมีประสิทธิผล โดยภาคธุรกิจต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครอบคลุมทุกมิติ และควรตั้งเป้าหมายให้เป็นองค์กร Zero Non Compliance และ Zero Corruption โดยขยายแนวคิดนี้ให้กับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานด้วย ปัจจุบันหลายองค์กรได้ใช้ดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนช่วยในการสร้างความโปร่งใส และการกำกับดูแล เพื่อสร้างความแม่นยำในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของธุรกิจและระดับการลงทุนของบริษัท ในภาวะที่ทรัพยากรมีจำกัด
|