การประชุมกลุ่มที่สามเป็นภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย นำโดยคุณธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมฯ / CEO Priceza คุณวรวุฒิ สายบัว เลขาธิการสมาคมฯ / CEO Beaitynista คุณณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข กรรมการบริหารสมาคมฯ / CEO LnwShopดร. อธิปก ไพรเกษตร กรรมการบริหารสมาคมฯ คุณพิมพ์ฐดา สหัชอติเรกลาภ กรรมการบริหารสมาคมฯ / CEO SiamOutlet สมาคมโฆษณาดิจิทัลไทย นำโดยคุณศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายก สมาคมฯ / ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย คุณภารุจ ดาวราย อุปนายก สมาคมฯ คุณนรินทร์ เย็นธนกรณ์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายมาตรฐานอุตสาหกรรม คุณชาญชัย พงศนันทน์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายวิชาการ คุณอนันฑ์ ตีระบูรณะพงษ์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายวิชาการ และกูรูในวงการ ได้แก่ คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO และผู้ก่อตั้ง TARAD.COM และคุณผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO และผู้ก่อตั้ง NASKAT นอกจากนั้นยังประกอบด้วย สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย นำโดยคุณวัลภา สถิรชวาล ประธานสมาพันธ์ฯ คุณสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ที่ปรึกษา สมาพันธ์ฯ คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ที่ปรึกษา สมาพันธ์ฯ ดร.ชุมพล สายเชื้อ. นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย คุณปิยะนุช สัมฤทธิ์ รองนายกสมาคมฯ / รองนายกสมาคมธุรกิจคลังสินค้าไซโลและห้องเย็น สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย นำโดย คุณสุวิทย์ รัตนจินดา ประธาน สมาพันธ์ฯ คุณวิฑูรย์ สันติบุญยรัตน์ เลขาธิการ สมาพันธ์ฯ ดร.ธเนศ โสรัตน์ รองประธาน สมาพันธ์ฯ คุณนิธิธร สุขมนัส รองประธาน สมาพันธ์ฯ คุณนวลศรี ว่องไวทยกรกุล รองประธาน สมาพันธ์ฯ
สรุปประเด็นสำคัญในการประชุมของ “ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” เช่น
นำเสนอให้มีการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคของผู้บริโภคภายในประเทศ ทั้งในส่วนการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัย การซื้อเพื่อการลงทุน และลงทุนบ้านให้เช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ทั้งมาตรการของภาครัฐในเรื่องของภาษี และมาตรการของภาคการเงินในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ และอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่า นอกเหนือจากการออกมาตรการทางการเงินที่ช่วยผู้บริโภคแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ควรหาวิธีการจูงใจธนาคารต่างๆ ให้มีความต้องการ “อยากปล่อยสินเชื่อ” เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย มีช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ และสามารถเข้าถึงเงินกู้ได้
นอกจากนั้นที่ควรให้ความสำคัญอีกหนึ่งมิติ ในฐานะที่ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็นบ้านหลังที่สองของคนทั่วโลก และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคด้วยปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ซึ่งหากผลักดันได้สำเร็จจะส่งผลประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของแรงงานต่างชาติระดับผู้บริหาร หรือผู้มีทักษะสูง เพิ่มการจ้างงาน เพิ่มรายได้ กำลังซื้อภายในประเทศ และเป็นผลต่อเนื่องต่อภาคธุรกิจต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก การค้า โรงแรม ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
ทั้งนี้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นภาคธุรกิจที่อิงกับความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นภาครัฐต้องเน้นการสร้างความเชื่อมั่น เกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อความมั่นคงในการดำเนินชีวิต และประกอบอาชีพของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ คือการสื่อสารข้อมูลเรื่องเศรษฐกิจ หรือโครงการสำคัญๆ ที่จะมีผลต่อการทำมาหากินและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ออกไปสู่ประชาชนให้รับทราบ และมองเห็นอนาคตของตัวเอง เพื่อสามารถวางแผนการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม
สรุปประเด็นสำคัญในการประชุมของ “ภาคธุรกิจค้าปลีก” เช่น
เสนอว่าภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็น “สุดยอดการใช้ชีวิตแห่งเอเชีย” (Lifestyle hub of Asia”) โดยเสนอมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในส่วนระยะสั้นเพื่อพยุงการจ้างงาน และขับเคลื่อนเอสเอ็มอีให้อยู่รอด เสนอแก้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงได้ ซี่งจะนำสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านอัตรา รวมทั้งออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการนำโครงการ “ช้อปช่วยขาติ” ออกมาอีกครั้ง และการกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดยลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือน เช่น จาก 30 % เหลือ 10%
นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอแนะสำหรับระยะสั้น เพื่อไม่ให้ร้านค้าปิดกิจการ มีการจ้างงานต่อไปและมีเงินหมุนเวียนในระบบรัฐควรปล่อยซอฟท์โลนโดยอนุญาติให้ผู้ประกอบการสามารถนำหลักฐานใบสัญญาเช่ามาใช้พิจารณาปล่อยกู้ได้ ออกโครงการช้อปและเที่ยวช่วยชาติ และเยียวยาลดค่าใช้จ่ายศูนย์การค้า เช่น ลดค่าไฟ ภาษีนิติบุคคล ภาษีป้าย ยืดเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ไปถึงปี 2566 สำหรับแผนระยะกลาง ควรส่งเสริมยกระดับให้ธุรกิจศูนย์การค้าอยู่ในแผนแม่บทของประเทศเปิดพื้นที่เพิ่มโซนการลงทุนให้ศูนย์การค้า เช่นเดียวกับอีอีซี ส่งเสริม seamless connectivity โดยปรับกฏหมาย ทางเชื่อมอาคาร ลดค่าธรรมเนียมเงื่อนไขเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้า และแผนระยะยาวควรผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชั้นนำ เทียบชั้นญี่ปุ่น เกาหลี ยกระดับสินค้าไทยให้แข่งขันได้ พร้อมทยอยลดภาษีนำเข้าให้ราคาสินค้าแข่งขันกับต่างประเทศได้
|