สำหรับเทคโนโลยีที่องค์กรธุรกิจสามารถนำไปประยุกต์ เพื่อช่วยบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยี ได้แก่
1. เทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud Technology) ช่วยให้องค์กรสามารถลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของตัวเอง รวมถึงช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลรักษาระบบ ประหยัดเวลาและยังมีความยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่าย เนื่องจากส่วนใหญ่คิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์แบบเดิม อย่างไรก็ดี การย้ายไปใช้งานระบบคลาวด์จำเป็นต้องประเมินขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีขององค์กรอย่างรอบคอบ เลือกกลยุทธ์และวางแผนเพื่อให้การประยุกต์ใช้งานเหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด
ในปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้คลาวด์ 3 รูปแบบ คือ 1. การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและระบบจัดเก็บข้อมูล หรือทำหน้าที่แทน server (Infrastructure-as-a-Service: IaaS) 2. การให้บริการด้านแพลตฟอร์มสำหรับซอฟต์แวร์ (Platform as a Service: PasS) เช่น เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) ระบบประมวลผลกลางขององค์กรขนาดใหญ่ (Database Server) หรือระบบ API ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยสูง 3. การให้บริการซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน (Software as a Service: SaaS) ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งาน เช่น จำนวนผู้ใช้ ปริมาณที่ใช้ ระยะเวลาที่ใช้ เช่น ผู้ให้บริการทางด้านซอฟต์แวร์ใหญ่ๆ อย่าง Microsoft 365, Google Suite
2. Robotic Process Automation (RPA) คือระบบการทำงานแบบอัตโนมัติโดยใช้หุ่นยนต์มาทำงานแทนคน ซึ่งสามารถใช้จัดการงานที่ต้องตรวจสอบข้อมูลชุดเดียวกันหลายครั้งและงานที่ต้องทำซ้ำกันตามช่วงเวลา เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีค่าจ่ายใช้ที่ต่ำกว่าและรวดเร็วกว่าการจ้างคนมาดูแลจัดการ
ทั้งนี้ RPA สามารถนำไปปรับใช้งานได้กับหลากหลายภาคส่วนของธุรกิจ อาทิ งานจัดการข้อมูลพนักงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคล งานตรวจสอบการเบิกจ่ายของฝ่ายบัญชี เป็นต้น
นอกจากใช้งานภายในองค์กรแล้ว ภาคธุรกิจอื่นๆ เริ่มมีการใช้งาน RPA มากขึ้น เช่น กรณีของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สามารถใช้ RPA ในการช่วยตรวจดูและเปรียบเทียบราคาสินค้า รวมถึงวางตารางกำหนดการส่งสินค้าและติดตามการขนส่ง หรือกรณีสถาบันการเงินที่ใช้ RPA ในกระบวนการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence) เพื่อให้ทราบถึงแนวโน้มและโอกาสที่ลูกค้าเสี่ยงจะฟอกเงิน
3. ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Artificial Intelligence / Machine Learning) สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดที่เกิดจากคน และวิเคราะห์การตัดสินใจทางธุรกิจได้ถูกต้องแม่นยำโดยอิงกับข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้องค์กรสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ตัวอย่างการใช้ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักร สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกระบวนการจัดซื้อภายในองค์กร โดยแต่ละหน่วยธุรกิจภายในจะมีข้อมูลงบรายจ่ายของฝ่ายตัวเอง แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ได้รวมไว้ที่ศูนย์กลางทั้งหมด ทำให้ไม่อาจวิเคราะห์รายจ่ายแต่ละประเภทได้ตรงจุด การนำปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักรไปผสมผสานกับระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม (ERP) เพื่อดึงข้อมูลและวิเคราะห์รายจ่ายของแต่ละหน่วยงานจากที่เดียวกัน จะทำให้ระบุได้ว่าควรลดรายจ่ายในส่วนไหนได้อย่างเฉพาะเจาะจงภายในเวลาอันรวดเร็ว
“สำหรับเรื่องการลงทุนใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดต้นทุนเป็นสิ่งที่พูดกันเยอะขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจดำเนินการ ธุรกิจต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าแนวทางแบบไหนที่จะช่วยลดต้นทุนได้จริง ต้องเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่กระทบรายได้ หากทำแล้วส่งผลกระทบต่อองค์กร จะไม่ถือว่าเป็นการลดต้นทุนอย่างแท้จริง” นายพชร ทิ้งท้าย
|