เรากำลังเจอกับวิกฤต?
ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิมในปี 2563 และอาจจะรุนแรงกว่าเดิม ในขณะที่ไวรัสโควิด 19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ธนาคารกลางและหน่วยงานทางด้านการเงินต่างๆ ทั่วโลกอัดฉีดมาตรการทางการเงินและการคลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนและสินทรัพย์ทางการเงินของครัวเรือนจากผลกระทบของโควิด 19
เราคาดการณ์ว่าครัวเรือนจะสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบที่ได้รับในไตรมาสแรกและมีสินทรัพย์โดยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 1.5% ในช่วงท้ายของไตรมาสที่สองของปี 2563 จากเงินฝากธนาคารที่จะเพิ่มขึ้นถึง 7.0% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการช่วยเหลือประชาชนและการสำรองเงิน จึงมีความเป็นได้อย่างมากที่สินทรัพย์ครัวเรือนจะไม่ติดลบในปีแห่งโรคระบาดอย่างปี 2563 นี้
“นโยบายทางการเงินที่ดูเหมือนเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการทางการเงินในช่วงเวลานี้” ลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอลิอันซ์ กล่าว “แต่ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นศูนย์หรือติดลบเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่อาจไม่เหมาะสมในระยะยาว เพราะเป็นอุปสรรคขัดขวางการสะสมความมั่งคั่ง ทั้งยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคมมากขึ้นกว่าเดิม การเอาตัวรอดในขณะนี้กับการรอดพ้นไปตลอดในอนาคตเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นเราจึงต้องการการปฏิรูปเชิงโครงสร้างหลังโควิด 19 เพื่อวางพื้นฐานสำหรับการเติบโตที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์สวนกระแส
ช่องว่างทางการเงินระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนขยายกว้างขึ้นอีกครั้ง ในปี 2543 จำนวนสินทรัพย์ต่อหัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว มากกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ถึง 87 เท่า ในปี 2559 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 19 เท่า ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งเป็น 22 เท่าในปี 2562 การพัฒนาเพื่อตามประเทศร่ำรวยให้ทันหยุดชะงัก โดยจำนวนชนชั้นกลางทั่วโลกลดลงอย่างมาก จากมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในปี 2561 เหลือ 800 ล้านคนในปี 2562
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการพัฒนาตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษใหม่ จำนวนชนชั้นกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 50% และจำนวนคนร่ำรวยเพิ่มขึ้น 30% เมื่อปรับตามการเพิ่มขึ้นของประชากรแล้ว ในขณะที่คนจนมีจำนวนน้อยลงเกือบ 10% หากไม่นับความก้าวหน้าเช่นนี้ โลกยังงคงเป็นโลกแห่งความไม่เท่าเทียม คนที่รวยที่สุดในโลกมีจำนวน 10% ของประชากรทั้งโลก หรือ 52 ล้านคน โดยมีสินทรัพย์เฉลี่ย 240,000 ยูโร กลุ่มคนรวยมีสินทรัพย์รวมกันประมาณ 84% ของสินทรัพย์ทั้งหมดทั่วโลกในปี 2562 1% ของคนกลุ่มนี้มีสินทรัพย์เฉลี่ยนมากกว่า 1.2 ล้านยูโร หรือ 44% ของสินทรัพย์ทั้งหมด
การเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่สิ้นสุดปี 2543 เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด ในขณะที่ความมั่งคั่งของกลุ่มคนรวยลดลง 7% สินทรัพย์ของกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลกเพิ่มขึ้น 3% สะท้อนให้เห็นว่ามหาเศรษฐีกำลังร่ำรวยกว่าคนกลุ่มอื่นของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ
“สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนเริ่มขยายกว้างขึ้นอีกครั้ง แม้ในช่วงก่อนที่โควิด 19 จะระบาด” มิคาเอล กริม นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของอลิอันซ์และผู้ร่วมเขียนรายงานฉบับนี้ กล่าว “โรคระบาดจะทำให้ความไม่เท่าเทียมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกาภิวัตน์ การศึกษา และบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรายได้น้อย หากประเทศต่างๆ สนใจเฉพาะการแก้ปัญหาในประเทศของตัวเอง โลกจะยากจนมากขึ้น”
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงน่าเป็นห่วง
ในปี 2562 สินทรัพย์รวมของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 5.2% ซึ่งเป็นผลมาจากเงินประกันและบำเน็จบำนาญที่เพิ่มขึ้น 13.4% หลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.9% และเงินฝาก 2.9% โดยเงินฝากยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของครัวเรือนไทย มีส่วนแบ่งตลาด 51.2% ในขณะที่หลักทรัพย์มีส่วนแบ่ง 27.6% เงินประกันและบำนาญ 21.1%
เงินกู้เติบโตในอัตราที่น้อยลงที่ 5.1% ซึ่งน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์โดยรวมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้น 79.7% มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 55% และยังเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในภูมิภาค
สินทรัพย์สุทธิต่อหัวเพิ่มขึ้น 5.1% ไปอยู่ที่ 3,936 ยูโร (หรือประมาณ 146,419 บาท) เมื่อสิ้นปี 2562 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยอยู่ในลำดับที่ 45 เช่นเดียวกับปีก่อน
|