ทั้งนี้ กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ของ DRT เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามเสมือนไม้ธรรมชาติ แต่มีความแข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย สะดวกรวดเร็วในการติดตั้ง และสามารถใช้ตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดยังอยู่ในช่วงของการเติบโตและมีความต้องการใช้งานแพร่หลาย แม้อยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม
ดังนั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าในปีแรกสายการผลิต NT-11 จะมีอัตราการเดินเครื่องจักรประมาณ 80% ของกำลังการผลิต คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 200 – 300 ล้านบาทต่อปี และทำให้สัดส่วนรายได้สินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์จะมากกว่าสินค้ากลุ่มหลังคาภายในปี 2564 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และยังส่งผลดีต่อการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นบริษัทฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรต่อหน่วยที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าในกลุ่มหลังคา
“หลังจากเริ่มเดินเครื่องจักร NT-11 เชิงพาณิชย์แล้ว จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้สังเคราะห์ของ ตราเพชร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น ทั้งในมุมของขนาดสินค้าและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยและความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างที่น่าจะทยอยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอีกด้วย” นายสาธิต กล่าว
|