สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ภายใต้การดำเนินงานของ ‘บ้านปู เน็กซ์’ รุดหน้านำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น โดยร่วมกับภูเก็ต พัชทรี ทัวร์ นำเรือ ‘บ้านปู เน็กซ์ อีเฟอร์รี่’ (Banpu NEXT e-Ferry) เรือท่องเที่ยวไฟฟ้าทางทะเลลำแรกของไทย มาให้บริการในเส้นทางภูเก็ต-พังงา ยกระดับการบริการด้านการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) รวมทั้งผลักดันสมาร์ทโมบิลิตี้ (Smart Mobility) อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ (Smart City) ส่งเสริมไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ให้หันมาใช้รถพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยนำโครงการ ‘Banpu NEXT EV Car Sharing’ มานำร่องเปิดจุดบริการระดับแฟล็กชิพแห่งแรก ‘สามย่านมิตรทาวน์’ ครบครันทั้งจุดรับ-คืนรถ และจุดชาร์จที่ใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งเดินหน้าขยายจุดบริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เเละต่างจังหวัด
ล่าสุด บ้านปู เน็กซ์ ลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญกับ ‘ไทร เบคก้า เอ็นเตอร์ไพร์ส’ พัฒนา ‘โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ หรือโซลาร์ลอยน้ำ’ (Solar Floating) กำลังการผลิตรวมสูงถึง 16 เมกะวัตต์ นับเป็นโครงการโซลาร์ลอยน้ำของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อเสริมให้นิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จ. ระยอง ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
“แม้จะพบกับความท้าท้ายในยุค “Never normal” บ้านปูฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ได้อย่างต่อเนื่อง เราพร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียด้วย “อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter Energy for Sustainability)” โดยเรามุ่งมั่นที่จะสรรสร้างโซลูชันด้านพลังงานแบบครบวงจรที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ด้วยการแสวงหานวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานแก่สังคม” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 รวม 470 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14,739 ล้านบาท) โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 146 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 103 จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม จากการลดลงของปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แม้จะมีการอ่อนค่าลงของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐที่ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ* ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุน 16 ล้านเหรียญสหรัฐ
|