ศ.ดร.มนต์ชัย กล่าวต่อว่า สมัยก่อนกว่าจะวิเคราะห์ได้ว่าแมลง ยุง หรือสินค้าการเกษตรจะเป็นพาหะโรคหรือไม่ ต้องใช้เวลา แต่หลังจากนี้ ทุกอย่างจะง่าย รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น จะมีการสร้างระบบ A.I. ผู้ช่วยนักวิจัย ผู้ช่วยแพทย์ในการประมวลผล ว่าแมลง ยุง หรือผลิตภัณฑ์การเกษตรเหล่านั้นจะมีเชื้อ เป็นพาหะโรคหรือไม่ เพียงวิเคราะห์จากภาพถ่าย และข้อมูลที่มีเป็นแสนๆ เรื่อง ประมวลผลออกมาอย่างชัดเจน แม่นยำ เพราะต้องยอมรับว่าด้วยข้อมูลที่มีอยู่มากมาย A.I. จะเข้ามาช่วยแพทย์ นักวิจัยให้ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ช่วยการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"มข.มุ่งเน้นการส่งเสริม สุขภาพคน ชุมชน เกษตรกรรม อาหาร โดยศึกษาวิจัยในทุกด้านและสร้างสรรค์นวัตกรรม เครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ โดยมข.ได้มีการจัดตั้งศูนย์จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยศูนย์นี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบจริยรรมมนุษย์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เครื่องมือทางการแพทย์ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการป้องกัน การรักษาชีวิตคน อีกทั้งการจะผลักดัน Health care and Tourism หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้ได้นั้น จะต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งการบริการ การรักษาทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องมือออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องได้มาตรฐาน ช่วยให้โรงพยาบาลไทยมีเครื่องมือทางการแพทย์ใช้เอง ลดต้นทุนการนำเข้าที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล" ศ.ดร.มนต์ชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม มข.ได้มีการจัดโครงการเสริมสร้างศักยภาพและขับเคลื่อนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศระดับทวิภาคีและพหุภาคี : ปัญญาประดิษฐ์ด้านการดูแลสุขภาพ (AI for Healthcare) เพื่อความเป็นเลิศด้านการแพทย์ เสริมความเข้มแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยใช้นวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางด้านวิชาการกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และจะมีการเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อจัดทำงานวิจัยที่สามารถใช้ได้จริงในเชิงอุตสาหกรรมทางการแพทย์ต่อไป
ด้าน รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) หรือ PMU-C กล่าวว่า บพข. ได้มีการสนับสนุนทุนวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ ให้แก่มหาวิทยาลัย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ เป็นนิมิตรหมายที่ดีในการสร้างความร่วมมือของกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีองค์ความรู้ เชี่ยวชาญงานวิจัยทางด้านการแพทย์ และวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อน เพิ่มขีดความสามารถให้แก่ประเทศ
"มหาวิทยาลัยไทยมีผลงานวิจัยจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมาจะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้มีข้อมูล Data จำนวนมากและกระจัดกระจาย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีการจัดเก็บแตกต่างกัน อาจทำให้ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน แต่ต่อไปเมื่อมีภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัยปัญญาประดิษฐ์ไทย (Thailand A.I. University Consortium) ในครั้งนี้ โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยในกลุ่มแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์ ก่อนจะขยายไปกลุ่มเกษตรศาสตร์ จะทำให้มหาวิทยาลัยต่าง สามารถใช้ A.I. ในการสร้างระบบต่างๆ ช่วยงานวิจัย และการแพทย์ได้ดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัยไทยในการสร้างนวัตกรรมภายใต้งานวิจัยที่สามารถใช้ได้จริง" รศ.ดร.สิรี กล่าว
ในโครงการดังกล่าว ได้มีการจัดงบประมาณสนับสนุนมหาวิทยาลัย ประมาณ 188 ล้านบาท ต่อปี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของนักวิจัยไทย ยกระดับงานวิจัยทางการแพทย์ และวิศวกรรมศาสตร์ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งเป็นจะกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย โดยใช้ AI เข้าช่วย
|