รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ปัจจุบันยังไม่มีผลวิจัยยางพาราในประเทศไทยก่อให้เกิดการแพ้หรือไม่ หรือมีการวิจัยสายพันธุ์ยางที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้และกระบวนการผลิตเพื่อลดโปรตีนลง ดังนั้น หากนักวิจัยร่วมมือกันจะช่วยพลิกอุตสาหกรรมถุงมือยางพาราธรรมชาติให้กับมาใช้งานแพร่หลาย เนื่องจากคุณสมบัติของถุงมือยางพาราธรรมชาติมีความแข็งแรง ยืดหยุ่นกว่าถุงมือยางพาราสังเคราะห์ ที่มีส่วนผสมของยางไนไตรล์ ยางคลอโรฟิลล์ ความทนต่อแรงมีน้อยจึงฉีกขาดได้ง่ายมากกว่า อีกทั้งมีสารไซยาไนด์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
ทั้งนี้ ม.อ. วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียาง ชีวเคมีและการแพทย์ เตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยการแพ้โปรตีนในยางพารา โดยร่วมวิจัยและพัฒนาระดับโปรตีนในยางพาราตามเกณฑ์มาตรฐานการผลิตถุงมือยางพาราธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ต่อมนุษย์ครบทุกมิติ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา และยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางพาราธรรมชาติให้ดียิ่งขึ้น
ผศ.ดร.เอกวิภู กาลกรณ์สุรปราณี รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา ม.อ. กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ส่งผลให้บริษัททั่วโลกจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีถุงมือยางเพิ่มขึ้น โดยบริษัทอเมริกันจดสิทธิบัตรมากอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยียางพาราที่เอามาทำเป็นถุงมือทางการแพทย์มีความต้องการสูง โดยเฉพาะยางไนไตรล์มีความต้องการของตลาดมากกว่ายางธรรมชาติ 9-10 เท่า จึงมีแนวโน้มว่ายางไนไตรล์จะขาดตลาด และผู้ผลิตจะกลับมาใช้ยางพาราธรรมชาติมากขึ้น
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งเสริมเกษตรกรปลูกยางพารา ซึ่งปัจจุบันการปลูกยางพารามีจำนวนไม่กี่พันธุ์ และส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่มีน้ำยางปริมาณสูง แต่หากมีการวิจัยยางพาราสายพันธุ์ที่มีโปรตีนน้อย และมุ่งส่งเสริมเกษตรกรปลูกสายพันธ์ยางพาราแบบบผสมผสาน จะยิ่งทำให้ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น |