ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น สามารถทำส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในไตรมาส 4/2563 เช่นกัน โดยเฉพาะแบรนด์เบบี้มายด์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในหมวดสินค้าสบู่เหลวและแป้งฝุ่น
ขณะที่ตลาดในประเทศเมียนมาร์นั้น บริษัทฯ ยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30% มีโรงงานแห่งใหม่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ในเมียนมาร์ได้อย่างมีคุณภาพ รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง ผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเมียนมาร์อาจมีผลกระทบต่อการขนส่งและการดำเนินงานในระยะสั้น ซึ่งบริษัทฯ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ด้วยความสำเร็จของผลการดำเนินงานที่ขยายตัวได้ดี ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 จึงมีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในปี 2563 ในอัตรา 1.1 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 3,304 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น คงเหลือเงินปันผลที่ต้องจ่ายเพิ่ม 0.65 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นต่อไป
“สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2564 นั้น บริษัทฯ จะเน้นกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งใน 5 มิติ ได้แก่ สร้างการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ขยายตลาดเครื่องดื่มซีวิท ขยายธุรกิจในประเทศเมียนมาร์ เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ Fit Fast Firm และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น” นายธนา กล่าว
|