หลังจากได้เดินทางไปสัมผัสและได้เห็นสถานการณ์กองขยะมูลฝอยชุมชนกว่า 5 แห่ง ทั่วกรุงเทพฯ นักสารคดีผู้รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่าง วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เผยว่า เมืองไทยมีขยะวันละ 78,000 ตัน จากนั้นขยะเหล่านี้จะถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ นอกเมือง เราจึงไม่รู้ว่าแต่ละวันขยะจาการบริโภคของเรานั้นมากมายขนาดไหน และการฝังกลบในบ่อขยะต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก หากเรายังไม่สามารถลดปริมาณขยะลงได้ ต่อไปก็จะมีพื้นที่บ่อขยะนอกเมืองลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ส่วนการกำจัดขยะด้วยการเผายิ่งส่งผลต่อสภาพแวดล้อมมากขึ้นทั้งในระยะสั้น คือฝุ่นควันจากการเผา ไปจนถึงระยะกลางและระยะยาวคือภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำท่วม ฝนแล้ง ฤดูกาลผิดเพี้ยน ที่มากไปกว่านั้น ขยะที่ไม่ได้ผ่านการคัดแยกก็เป็นได้แค่มลพิษทางดิน อากาศ น้ำ พืช และสัตว์ สุดท้ายมลพิษพวกนี้ก็วนกลับมาเข้าสู่ร่างกายเราทุกคน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบสารพิษ ไมโครพลาสติก หรือ แบคทีเรียและเชื้อโรค
“การพัฒนาระบบการจัดการขยะของประเทศนั้นเริ่มได้จากระดับองค์กร ตั้งแต่ครัวเรือนไปจนสถานประกอบการ ประชาชนจะต้องปรับวิสัยทัศน์และละทิ้งความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการแยกขยะว่าสุดท้ายแล้วขยะที่คัดแยกไปก็ถูกเทรวมกัน ซึ่งหลังจากที่ได้ลงพื้นที่สัมผัสเส้นทางของขยะด้วยตัวเอง พบว่าที่จริงมีคนต้องการขยะเยอะมาก เพราะสามารถสร้างรายได้ ทั้งคนรับซื้อและเก็บของเก่า และเจ้าหน้าที่เก็บขยะ ขอเพียงเราช่วยแยกขยะให้ถูกประเภท เช่น การแยกขยะอย่างง่าย คือขยะที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ (กระดาษ แก้ว พลาสติก และอลูมิเนียม) เป็นต้น แต่หากองค์กรไหนสามารถแยกได้ละเอียดกว่านั้น ขยะที่คนไม่ต้องการจะยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น เพราะโรงงานรับซื้อมีต้นทุนในการคัดแยกลดลง หรือหากเราสามารถสร้างโมเดลธุรกิจให้มีตู้รับซื้อขยะอัตโนมัติอยู่ทั่วไป คนก็จะเห็นว่าการแยกขยะเป็นเรื่องง่ายและขยะเป็นสิ่งที่ยังมีคุณค่า”
ในส่วนของการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงาน แนวคิดหลักคือการกำจัดขยะอย่างเหมาะสม โดยพลังงานไฟฟ้าที่ได้คือผลพลอยได้ ซึ่งจากการไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะที่ผ่านมา ทำให้มองเห็นโอกาสว่าโรงงานและภาครัฐสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในชุมชนได้ หากจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ คุณวรรณสิงห์ ยังเสนอแนะต่อยอดจากหลักการ 3R ซึ่งประกอบด้วย การลดปริมาณขยะ (Reduce), การใช้ซ้ำ (Reuse) และการแปรรูปใช้ใหม่ (Recycle) ว่า “หลักการ 3R เป็นแนวคิดที่เข้าใจได้ง่ายและสังคมรณรงค์กันมานานแล้ว แต่แนวคิดนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าผลกระทบของปัญหาขยะในประเทศขึ้นอยู่กับผู้บริโภค ทั้งที่จริงแล้วอยากให้เพิ่มคำว่า Reform หรือ การปฏิรูป การปรับปรุงระบบจัดการขยะของประเทศ เริ่มตั้งแต่โครงสร้างหรือกฎหมายที่มาส่งเสริมกระบวนการขจัดขยะ การสร้างมาตรฐานการจัดการขยะให้ทุกชุมชนสามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยภายใต้มาตรฐานเดียวกันที่สามารรถตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลย หากประชาชนไม่มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องว่าการจัดการขยะสำคัญต่อตัวเราและสังคมขนาดไหน ซึ่งนี่คือความท้าทายที่สุด แต่เป็นโอกาสที่สำคัญมากต่อประเทศของเรา”
โครงการ “Waste to Energy การเดินทางของขยะ ที่ทุกคนต้องรู้” มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการนำทรัพยากรหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์มากที่สุด รวมถึงการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน โดยตระหนักว่าประชาชนควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ขยะในบ้านเราเสียก่อน จึงจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากการสร้างการเรียนรู้สารคดีสั้นทั้ง 3 ตอน ที่ครอบคลุมจุดเริ่มต้น การเดินทาง ปลายทางของเส้นทางแห่งขยะ และยังให้ความสำคัญต่อการจัดการขยะ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนผู้สร้างขยะและใช้ไฟฟ้า มีส่วนร่วมช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ให้เกิดการใช้ทรัพยากรสูงสุด โดยนำขยะมาแปรรูปเป็นของใช้ หรือขยะอินทรีย์ สามารถย่อยสลายและทำเป็นก๊าซชีวภาพ ปุ๋ยหมักได้ ส่วนขยะมูลฝอยที่ไม่เหมาะจะนำไปรีไซเคิลหรือทำปุ๋ย จะถูกส่งเข้าโรงงานไฟฟ้าขยะเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดการนำเข้าพลังงานหรือเชื้อเพลิงจากต่างประเทศอีกด้วย
ร่วมตะลุยและติดตามสารคดีการเดินทางของขยะทั้ง 3 ตอนผ่านโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์ทั้ง 3 ท่าน ได้ดังนี้
- ตอนที่ 1: “จุดเริ่มต้นของขยะคือ ที่บ้าน” รับชมผ่าน อินสตาแกรม และ เฟสบุ๊คเพจ Rusameekae
- ตอนที่ 2: “รถขยะ กองขยะของเมือง” รับชมผ่าน เพจเฟสบุ๊ค Wannasingh หรือ ช่องยูทูป เถื่อนChannel
- ตอนที่ 3: “ปลายทางของขยะ” รับชมผ่าน อินสตาแกรม Mootono29
|