สำหรับ WICE Supply Chain Solutions Co.,Ltd. (บริษัทย่อย) ให้บริการด้าน Supply Chain ครบวงจร ทั้งงานคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่งสินค้า (Equipment) ขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่ดี จากการขยายตัวของปริมาณงานบริหารจัดการคลังสินค้า และการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทจึงวางแผนหาพื้นที่เปิดคลังสินค้าให้เช่าแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทวางแผนขยายฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มยานยนต์ เนื่องจากบริษัทเห็นความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมดังกล่าวมีปริมาณสูง จากการรองรับ 5G ที่ขยายตัวมากในเอเชีย อีกทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น หลังค่ายรถยนต์ปรับโมเดลใหม่ รองรับระบบไฟฟ้า
ประกอบกับเตรียมขยายฐานลูกค้าที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาสู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา โดยการนำเสนอโซลูชั่นแพ็คเกจการให้บริการขนส่งวัตถุดิบและอุปกรณ์เครื่องจักรให้กับโรงงานตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
“ด้วยจุดเด่นเรื่องการบริหารจัดการงานขนส่งโลจิสติกส์ให้กับลูกค้าได้ทุกรูปแบบและครบวงจร ถือเป็นข้อได้เปรียบของ WICE ที่สามารถบริหารจัดการงานตามความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าเกิดความไว้ใจ ทำให้บริษัทมีลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิมจากจีนกลับมาใช้บริการขนส่งทุกช่องทางของ WICE ที่ให้บริการ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้และมาร์จิ้นที่ดี” นายชูเดช กล่าว
นายชูเดช กล่าวต่อว่า บริษัทเชื่อว่าจากการวางแผนลงทุนในธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ทั้งการขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และคลังสินค้า จะสามารถเพิ่มโอกาสการรับงานและประสิทธิภาพการให้บริการที่สูงขึ้น โดยปี 64 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตทำนิวไฮต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20% จากปี 63 พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการทำกำไรให้สูงขึ้น และพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิเติบโตระดับ 5-6% เนื่องจากลงทุนขยายการให้บริการและบริหารจัดการที่ดีของ WICE และเครือข่ายโลจิสติกส์ก่อนหน้านี้ ทั้ง WICE Logistics (Singapore) Pte.Ltd. , WICE Logistics (Hong Kong) Ltd., Euroasia Total Logistics Co., Ltd., WICE Logistics (Shenzhen) Co.,Ltd. และ WICE Supply Chain Solutions Co.,Ltd
ด้านผลประกอบการปี 63 มีรายได้รวม 4,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,230.88 ล้านบาท จำนวน 1,774.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 79.56% และมีกำไรสุทธิ 201.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 61.97 ล้านบาท จำนวน 139.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 224.48%
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.14 บาท สำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 คิดเป็นจำนวนเงิน 91.27 ล้านบาท หรือคิดเป็น 94.33% ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พ.ค. 64 ซึ่งเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 ในวันที่ 30 เม.ย. 64
|