นายอิษณาติ เปิดเผยว่า ข้อมูลวิจัยชุดนี้อิปซอสส์ตั้งใจทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นภาพรวมของผลกระทบจากโควิด 19 และเปิดเผยความเห็นของประชากรทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและภาคธุรกิจโดยรวม โดยรายงานวิจัยชุดนี้ได้ทำการสำรวจในการระบาดของโควิดถึง 3 ระลอก ในช่วงเวลาดังนี้
เวฟที่ 1-เดือนพฤษภาคม 2563
เวฟที่ 2-เดือนกันยายน 2563
เวฟที่ 3-เดือนกุมภาพันธ์ 2564
โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ประเทศละ 500 คน อันได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม รวมทั้งสิ้น 3,000 คน สำหรับการศึกษาในแต่ละระลอก
รายงานวิจัยชี้ให้เห็นถึงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะการณ์รวมของสถานการณ์โควิด 19 โดยรวมภายในภูมิภาค ซึ่งพบสัดส่วนความกังวลของผู้คนในระดับสูงของการแพร่ระบาดทั้ง 3 ระลอก ในอัตรา 45% 50% และ 49% สำหรับ ระลอก 1 ระลอก 2 และ ระลอก 3 ตามลำดับ โดยอัตราความกังวลโดยรวมของคนไทยกับทั้ง 3 ระลอก พบว่ามีสัดส่วนที่ 83% 77% 78% ตามลำดับ ซึ่งมีระดับความกังวลที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ โดยรายได้ครัวเรือน และเงินออม เป็นประเด็นที่ผู้คนได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้น ๆ
โดยในส่วนรายได้ครัวเรือน พบว่าในระลอกที่ 3 ผู้คนจากประเทศอินโดนีเซียมีรายได้ครัวเรือนลดลงในระดับต่ำสุดจากทั้ง 6 ประเทศ โดยลดลงในอัตรา 82% ขณะที่ไทย ตามมาที่อัตรา 80% ในส่วนของเงินออมพบว่าคนไทยมีเงินออมที่ลดลงโดยเฉพาะหลังการระบาดระลอก 3 ที่คนไทย 80% กล่าวตนมีเงินออมลดลง ซึ่งลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั้งอาเซียนในระลอก 3 ที่อยู่ที่ 70%
และเมื่อพิจารณาในมุมของการนำเงินสำรองออกมาใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนนี้ จะพบว่าภาพรวมของทั้งภูมิภาค มีครัวเรือนที่มีเงินออมเพิ่มขึ้น 7% ในเวฟ2 และลดลงเหลือ 6% ในเวฟ3 ในทางตรงกันข้ามพบว่าครัวเรือนในอาเซียนที่มีเงินเก็บหายไปมากกว่าครึ่งที่ 16% เท่ากันในเวฟ2 และ เวฟ3 ขณะที่ประเทศไทยเองหากเปรียบเทียบระหว่าง เวฟ 2 และ เวฟ 3 จะพบว่า
คนไทยกังวลเรื่องรายได้ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประชากรในภูมิภาค SEA และกังวลลากยากไป 3 ปี ในอัตรา 82%, 81% 83% สำหรับ เวฟ1 เวฟ2 และ เวฟ3
ทั้งนี้ การสำรวจได้ตั้งคำถามกับผู้คนในอาเซียนต่อไปว่าหากรัฐบาลนำมามาตรการปิดกัดกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อระงับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในอนาคต คุณมีความกังวลต่อที่อาจเกิดขึ้นในระดับใด และเป็นกังวลว่าจะส่งผลต่อรายได้ของคุณหรือไม่ โดยพบว่าความกังวลของคนไทยในคำถามดังกล่าวอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น ความกังวลยังเพิ่มสูงขึ้นอีกในระลอก 3 นี้ ในอัตรา 82% 81% และ 83% สำหรับ เวฟ1 เวฟ2 และ เวฟ3 ตามลำดับ
นายอิษณาติ เปิดเผยเพิ่มเติมถึงความคิดเห็นและความกังวลที่ผู้คนมีต่ออนาคตของตนเอง ภายหลังที่ได้อยู่ร่วมกับโควิดมาเป็นเวลา 1 ปี พบว่า ผู้คนในภูมิภาคยังคงต้องต่อสู้และเป็นกังวลกับการใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งภาพรวมของคนทั้งภูมิภาค มีความเห็นที่รู้สึกดีกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศของตน ในอัตราเฉลี่ย 30% ส่วนประเทศไทย มีอัตราต่ำสุดในกลุ่ม 6 ประเทศที่ทำการสำรวจ ที่อัตรา 11% และถือว่าเป็นอัตราที่ตกต่ำลงเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดในระลอก 2
เมื่อถามถึงแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่าผู้คนในภูมิภาค 42% มองว่าเศรษฐกิจของประเทศตนจะดีขึ้น โดยเมื่อมองลงไปในแต่ละประเทศพบว่า อินโดนีเซีย นำมาเป็นอันดับ 1 – 76% อันดับ 2 ฟิลิปปินส์ 49% สิงคโปร์ อันดับ 3 - 37% อันดับ 4 เวียดนาม 35% และไทย อันดับ 5 รองสุดท้าย ในอัตรา 30% ส่วนอันดับสุดท้าย อันดับ 6 ประเทศมาเลเซีย 24% สำหรับ ไทยก็ยังเป็นสัดส่วนที่ลดลง เมื่อเทียบกับ การระบาดในระลอก 2
โควิด กระทบวิถีชีวิตเปลี่ยน สุขภาพจิตเสีย ส่งผลให้ผู้คนเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมที่ทำ โดยผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต กิจกรรมที่ผู้คนอยากทำ และช่วงเวลาที่อยากออกทำกิจกรรม
การระบาดของ โควิด 19 สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องต่อวิถีชีวิตในสังคม ตลอดจนความกังวลด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน ทั้งใน มาเลเซีย ไทย และ เวียดนาม ซึ่งต่างต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและกิจกรรมที่เคยทำตามนโยบาย Social Distancing โดยประชากรทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างระมัดระวังที่จะหลีกเลี่ยงการออกไปยังแหล่งชุมนุมที่มีคนมาก มาย เช่น ยิม สถานบริการด้านกีฬา (Sport facility) แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนอีเว้นท์ต่าง ๆ โดยผล การวิจัยได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต และช่วงเวลาที่อยากออกไปทำกิจกรรม ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
หากเรียงลำดับกิจกรรมที่ผู้คนอยากทำในทันทีจะพบผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ อันดับแรกคือการไปหาเพื่อนถึงบ้าน 36% / ใช้รถขนส่งมวลชน 33% / ไปภัตตาคาร-ร้านอาหาร 28% / ไปยิม – สถานออกกำลังกาย 21% / ท่องเที่ยวในประเทศ 19% / ไปงานพื้นบ้าน 14% / ท่องเที่ยวต่างประเทศ 9% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังระบุถึงช่วงเวลาที่อยากทำตามกิจกรรมเหล่านั้น สำหรับคนไทยสิ่งที่คนไทยอยากทำทันทีก็คือ - ไปเยี่ยมเพื่อนหรือครอบครัวถึงบ้าน / ใช้บริการขนส่งสาธารณะ / ไปภัตตาคาร-ร้านอาหาร / ไปยิม หรือ สถานออกกำลังกาย
ในเรื่องของพฤติกรรมใช้จ่ายภายหลังการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 พบว่าผู้คนจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับ จำนวนเงินที่ใช้ และไม่ใช้จ่ายกับของชิ้นใหญ่ๆ หรือแม้แต่การลองใช้สินค้าใหม่ๆ และอัพเกรด นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยหันมากักตุนอาหารและของใช้ส่วนตัวเพิ่มขึ้นช่วงการแพร่ระบาดระลอกที่ 3
จากสถิติผลสำรวจแสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนในภูมิภาคอาเซียนต่อกิจกรรมด้านการจับจ่ายใช้สอย โดยมีการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อระบุถึงสัดส่วนทางพฤติกรรมในแต่ละข้อที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง หากเปรียบเทียบกับช่วงการแพร่ระบาดระลอก 2 โดยพบผลดังนี้
ในภาพรวมพบว่าผู้คนอาเซียนกว่า 67% ยังไม่มั่นใจที่จะซื้อของชิ้นใหญ่ อย่างบ้านหรือรถ โดยผู้คนเลือกจ่ายสิ่งที่จำเป็นกว่าก่อน ส่วนการใช้จ่ายในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จะถูกระงับไว้ก่อน โดยความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการที่จะซื้อและใช้นั้น ถูกสำรวจผ่านชุดคำถามว่า “คุณจะใช้มากขึ้น เท่าเดิม หรือ น้อยลง เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 และหลังการยกเลิกมาตรการจำกัดต่าง ๆ” พบว่า ผู้คนในอาเซียนเลือกใช้จ่ายกับ การทำอาหารในบ้าน 42% / ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 36% / ซื้อของใช้ส่วนบุคคล 27% / การท่องเที่ยว 20% / เสื้อผ้า 15% / ภัตตาคาร-ร้านอาหาร 12% / งานประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม 11% เรียงตามลำดับ
ดิจิทัลมาแรง เดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสด และสตรีมมิ่ง สวนทางกิจกรรมอื่น
ส่วนกิจกรรมด้านดิจิทัลกลับมีความต้องการสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ การใช้จ่ายแบบไม่ใช้เงินสด และสตรีมมิ่ง โดยโควิดทำให้นิสัยคนเปลี่ยนไป กลายเป็นว่ากิจกรรมบางอย่างมีการทำมากขึ้นกว่าช่วงปกติก่อนเกิดโรคระบาดอย่างเด่นชัด ได้แก่ การใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย ซื้อของออนไลน์ ใช้จ่ายแบบไม่ใช้เงินสดเมื่อไปซื้อของในห้าง รับชมสตรีมมิ่ง และคอนเท้นท์ เช่น Netflix ฯลฯ เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น ในทางตรงกันข้ามกิจกรรมบางอย่างถูกทำน้อยลงไปจนถึงไม่ทำเลย ได้แก่ สูบบุหรี่ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบอื่น ๆ และดื่มแอลกอฮอล์ โดยสถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมด้านอุปนิสัยส่วนตัวหลังจากเผชิญวิกฤตโควิด เปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดที่ทำให้การทำกิจกรรมด้านต่าง ๆ เหล่านี้เปลี่ยนไป โดยจำแนกได้ดังนี้
ประชากรทั้งไทยและในภูมิภาค ส่งเสียงไปยังรัฐบาล อยากเห็นมาตรการความปลอดภัยจากโควิด โดยความต้องการ การสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือนมีอัตราความต้องการสูงขึ้น
อยู่อย่างปลอดภัยจากโควิด 19 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับความคิดเห็นของประชากรในภูมิภาคนี้และคนไทย โดยเมื่อเปรียบเทียบความเห็นของคนทั้งอาเซียน ในการระบาดระลอก 2 และ 3 พบผลลัพธ์ดังนี้ การคุ้มครองอาชีพการงานจาก 21% ลดลงสู่ 18% ควบคุมราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 14% สู่ 15% ปกป้องผู้คนจากภัยจากโควิด 19 เพิ่มขึ้นจาก 48% สู่ 50% และออกมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินให้กับครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 16% สู่ 18% ส่วนความคิดเห็นของคนไทย พบว่ามีอัตราการเรียกร้องสูงขึ้นใน 2 ประการที่สูงขึ้นจาก เวฟ2 ได้แก่ อยากให้รัฐปกป้องทุกคนจากภัยจากโควิด จาก เวฟ2 ในอัตรา 31% เป็น 38% ในเวฟ3 และ ต้องการให้รัฐ ออกมาตรการสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือน จาก เวฟ2 ไป เวฟ 3 ในอัตรา 30% เป็น 33%
ขณะเดียวกันเรื่อง “วัคซีน” ก็ยังเป็นความหวังที่ผู้คนต่างรอคอย โดยพบว่าค่าเฉลี่ยของคนทั้งอาเซียนในอัตรา 41% ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะรับวัคซีนทันทีเมื่อมีโอกาส 38% ตั้งใจที่รับ มีเพียง 14% ที่อาจจะไม่รับ และอีก 7% ที่ปฏิเสธการรับวัคซีน ทว่าเมื่อมองที่ประเทศไทยกับพบสัดส่วนความตั้งใจรับวัคซีนในทันทีที่อัตรา 35% ตั้งใจรับ 43% อาจจะไม่รับ 15% และปฏิเสธ
การรับวัคซีนที่อัตรา 7% เมื่อนำผลที่เกิดขึ้นมาพิจารณาร่วมกับการแสดงออกถึงความไม่มั่นใจในผลข้างเคียงของวัคซีน ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียในประเทศไทย สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นที่ผู้คนชาวไทยมีต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีให้เลือก ส่งผลให้ความตั้งใจในการรับวัคซีนลดลงกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตามคนไทยก็ยังมองว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี รวมถึงผู้ที่ทำงานรักษาความปลอดภัยและพนักงานทำความสะอาด เป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก
ดังนั้นการปล่อยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพออกมาให้ทันเวลา มีจำนวนเพียงพอ และการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่จะทำให้แผนการฉีดวัคซีนเพื่อปกป้องคนไทยจากไวรัสร้ายประสบผลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งย่อมจะส่งผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจในท้ายที่สุด นายอิษณาติ กล่าวปิดท้าย
|