ดร.พันธุ์อาจ อธิบายต่อว่า “ในยุคนิวนอร์มอลนี้ จะส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป NIA จำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมพลิกฟื้นประเทศทั้ง 7 ด้าน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงที่จะมีกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย ได้แก่ 1. นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ 2. นวัตกรรมเชิงพื้นที่ 3. นวัตกรรม 4. นวัตกรรมภาครัฐ 5. นวัตกรรมขับเคลื่อนด้วยข้อมูล 6. นวันกรรมกรอบความคิด และ 7. นวัตกรรมศาสตร์และศิลป์ ซึ่ง “ผลงานนวัตกรรม” เหล่านี้ นอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาตอบโจทย์การดำเนินชีวิตยุคใหม่แล้ว ยังจะนำไปสู่การสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนาธุรกิจและนโยบายนวัตกรรมของประเทศไทย พร้อมก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” ต่อไป”
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564 จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2548 เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติคนไทยที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่มีความเป็นนวัตกรรมโดดเด่นและสร้างคุณค่าต่อประเทศชาติในหลากหลายด้าน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่สำคัญในการสนับสนุนให้เกิดความตื่นตัวด้านนวัตกรรมในทุกภาคส่วนของสังคมไทย โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ - ผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าเชิงพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม - ผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ – ผลงานนวัตกรรมที่นำการออกแบบมาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์และบริการ ด้านสื่อและการสื่อสาร - ผลงานนวัตกรรมและบุคคลที่มีความสร้างสรรค์ในการนำเสนอเนื้อหาและการสื่อสารรูปแบบใหม่ และด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น - องค์กรที่มีการบริหารจัดการนวัตกรรมอย่างโดดเด่น ทั้งระดับยุทธศาสตร์ ระดับกระบวนการ และระดับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร สำหรับรางวัลชนะเลิศในแต่ละประเภทจะได้รับพระบรมรูป “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” พร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ จาก NIA เช่น การพัฒนาศักยภาพทางนวัตกรรมจากการเข้ารับการอบรมและศึกษาดูงานนวัตกรรมองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมในต่างประเทศ การพัฒนาต่อยอดการลงทุนผลงานนวัตกรรมและขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานนวัตกรรมผ่านสื่อในวงกว้างเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้สู่สาธารณะมากขึ้น”
|