Modular System เป็นแนวคิดต่อยอดจากระบบการก่อสร้างแบบ Prefabrication ที่เน้นการผลิตชิ้นส่วนก่อสร้างสำเร็จรูปจากในโรงงานให้เสร็จทั้งหมดเกือบ 100% ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน จึงเป็นการเตรียมชิ้นงานเหล็กโดยแปรรูปชิ้นงานได้ทุกขนาดตามแบบ (Shop Drawing) ภายในโรงงานที่ใช้เครื่องมือ และเครื่องจักรคุณภาพสูง ทั้งการวัดระยะ(Marking) ตัด (Cutting) เจาะ (Drilling) เชื่อม (Welding) ดัด (Bending) ทำสี (Coating) ที่ทำให้ชิ้นงานโครงสร้างเหล็กแปรรูป (Fabricated Steel) ได้คุณภาพ ระยะ และขนาดที่ถูกต้องแม่นยำ ก่อนขนย้ายนำไปติดตั้งที่หน้างาน
พร้อมชี้ให้เห็นข้อได้เปรียบที่ Modular System จะช่วยผู้ประกอบการทางตรง ได้แก่ ทำได้เร็วกว่าการก่อสร้างทั่วไปกว่า 50%, ควบคุมคุณภาพ QC ได้ดีกว่าการก่อสร้างทั่วไป, ควบคุมงบประมาณ Cost ได้ดีกว่าการก่อสร้างทั่วไป ส่วนข้อดีในทางอ้อมนั้น ช่วยลดมลภาวะต่อพื้นที่ใกล้เคียง, ใช้แรงงานน้อย ลดความแออัด, Green Building / Carbon Credit ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งการที่ระบบ Modular System สามารถรวมการติดตั้งปลั๊ก สายไฟ การตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ติดไปได้เลย หน้างานเพียงต่อระบบน้ำ ระบบไฟ ทำหลังคาต่อเพิ่มเติม เก็บงานเก็บสีอีกนิดหน่อย โดยสามารถทำตัวอย่างขึ้นมาให้ดูก่อน เพื่อการ QCตรวจสอบได้เลยที่โรงงาน ในอนาคตเรื่องนี้จะเป็นสิ่งสำคัญในแง่ของการก่อสร้าง เป็นการอัพสกิลแรงงาน ช่วยประหยัดทั้งต้นทุนและเวลา ซึ่งถ้าเป็นการก่อสร้างแบบปกติจะมีโอกาสที่งบจะบานปลาย
“ปัจจุบันเลือกใช้เหล็กเอชบีมของ SYS เพราะเป็น Brand ที่น่าเชื่อถือ สินค้ามีคุณภาพ และ SYS มีเอกสารใบรับรอง มาตรฐานในการผลิตต่างๆ ทำให้สามารถสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี” คุณนิรันดร์กล่าวปิดท้าย
ในส่วนของตัวแทนเจ้าของโครงการ คุณพิทักษ์ นิ่มอนงค์(Assistant Vice President บริษัท MQDC) เสริมว่า ในมุมของเจ้าของโครงการ สถานการณ์โควิด ทำให้งานก่อสร้างโดนแช่ไว้ เพราะแรงงานที่หายไป หรือการก่อสร้างที่ถูกระงับ แต่สำหรับรูปแบบ Modular System สามารถนำงานก่อสร้างต่างๆ ไปทำในโรงงานได้มากกว่า 90% ดังนั้นในยุคการก่อสร้างต่อไป จะเป็นยุค Modular เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายหน้างานไปได้เยอะมาก และเอาเวลาไปขยายธุรกิจได้ดีมาก
|