อีกทั้งยังเก็บเกี่ยวผลลัพธ์จากการลงทุนได้เป็นกอบเป็นกำ บวกกับการคาดการณ์ว่าในปี 2023 สตาร์ทอัพไทยจะเริ่มดำเนินการเพื่อเตรียมตัวจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนในสตาร์ทอัพสามารถเข้ามาลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ และสามารถ Exit ขายเพื่อทำกำไรได้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพไทยพร้อมทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่จากประสบการณ์การทำงานใกล้ชิดร่วมกับกับสตาร์ทอัพมากที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ร่วมทำงานกับสตาร์ทอัพกว่า 63 ราย มากกว่า 106 โปรเจคใน 37 หน่วยงานในเครือกรุงศรี
หากให้วิเคราะห์ทั้งโอกาสและอุปสรรคแล้ว มีข้อสงสัยต่อว่าแล้วสิ่งใดจะเป็น “ลมใต้ปีก” ที่จะพาสตาร์ทอัพบินสูงและไปได้ไกลขึ้น ซึ่งคุณแซมเผยมุมมองที่น่าสนใจว่า นักลงทุนจะเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือสตาร์ทอัพเหล่านั้นในด้านหาเงินลงทุนมาเพิ่มเติม ดังนั้นหากประเทศไทยมีกองทุนอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถที่เปิดกว้างให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาเป็นร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งยังมีส่วนกระตุ้นการเติบโตให้กับสตาร์ทอัพได้จริง
จากประสบการณ์การลงทุนมานานกว่า 10 ปีในกว่า 15 กิจการสตาร์ทอัพ รวมเงินลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาทของกรุงศรี ฟินโนเวต พบว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยมองเห็นเทรนด์ของสตาร์ทอัพ จึงเกิดแอคชั่นมากมาย ทั้งการร่วมลงทุนในรอบแรกๆ ซึ่งเป็น Early stage เรียกว่า Angel Investing Round และยังพบว่านักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จะใช้ประเมินสถานะหรือมูลค่าทางธุรกิจสตาร์ทอัพโดยตรงได้มากขึ้น ซึ่งหากมีทีมงานและผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจการทำงานของสตาร์ทอัพ มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการลงทุน ก็จะสามารถช่วยนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพได้อย่างเหมาะสม สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ขณะที่สตาร์ทอัพเองก็มีโอกาสเติบโตและแข่งขันในตลาดได้
คงต้องจับตาดูโอกาสการเข้ามาของกองทุนเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพ เพื่อการลงทุนแบบจริงจังจะเกิดขึ้นเมื่อไรและจะสามารถช่วยรันวงการ สร้างยูนิคอร์นไทยตัวใหม่ให้เติบโตได้วิ่งไกลไปเร็วเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้มากเพียงใด และจะมีแอคชั่นอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง คงต้องรอติดตามตอนต่อไปอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
|