“เมื่อต้องเดินหน้าบนพื้นฐานของต้นทุนเดิม ผมกับน้องชายจึงต้องศึกษาหาข้อมูลของตลาดเครื่องดื่มอย่างหนัก และพบว่า สินค้าเพื่อสุขภาพมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคู่แข่งยังไม่มาก จึงตัดสินใจที่จะทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Double C โดยเข้าไปคุยกับทางเซเว่น อีเลฟเว่น ถึงแนวคิดดังกล่าว และทางเซเว่นก็ให้โอกาสเราได้ทำ ซึ่งเงินทุนที่ใช้ในตอนนั้นต้องบอกว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนจริงๆ ทุกอย่างต้องเป็นเงินสด เพราะเรายังมีหนี้อยู่เยอะ แบงก์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ทำให้เราต้องรู้จักบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้ดี ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยที่ดีด้านการเงินกับสถาบันการเงิน และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เซเว่นเองก็ช่วยร่นระยะเวลาเครดิตให้จากเดิม 90 วัน เป็น 45 วัน ทำให้เรามีสภาพคล่องในการดำเนินงานมากขึ้น” ชนินทร์ กล่าว
ด้าน สรวิศ ผู้บริหารอีกท่านหนึ่ง กล่าวเสริมว่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง Double C ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2561 ภายใต้สโลแกน เครื่องดื่มวิตามินซี 200% ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เพราะรสชาติที่ถูกปาก พร้อมคุณประโยชน์ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพในหลากหลายรสชาติ เช่น รสเลม่อนและมะนาว, รสส้มและเลม่อน, รสพีชและลิ้นจี่, รสเสาวรสและส้ม ในราคาเข้าถึงได้ง่ายเพียงขวดละ 15 บาท จึงทำให้ในปี 2562 บริษัทมีอัตราการเติบโตกว่า 300 % และก็เติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
“แม้ว่าสินค้าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่เราก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต้องให้ไว เพราะตลาดนี้มีผู้สนใจจำนวนมาก หากเราช้าหรือหยุดพัฒนา จากผู้นำเราก็จะกลายเป็นผู้ตามในทันที ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท เฟอร์โร เพอร์ฟอร์แมนซ์ แมททีเรียลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสารเคลือบผิวสำหรับอุตสาหกรรม นำสารเคลือบผิวมาใช้ในการผลิตขวดใส ผ่านทาง บริษัท เวลโกรว์ กล๊าส อินด์ดัสทรี จำกัด (WGI) บริษัทโรงงานผลิตขวดชั้นนำของประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเครื่องดื่ม Double C จะให้วิตามินซีครบ 200% ด้วยนวัตกรรมขวดใสป้องกันแสง เจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทย พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศ CLMV ในปีหน้า” สรวิศ กล่าวทิ้งท้าย
ขนมไทยบ้านทองหยอด : ค้นหาจุดแข็ง รักษามาตรฐาน พัฒนาต่อเนื่อง
แม้วันนี้ธุรกิจขนมไทย ภายใต้แบรนด์ “บ้านทองหยอด” จะถูกส่งไม้ต่อให้กับทายาทรุ่นที่ 3 แต่คุณภาพและรสชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 40 ปีแล้วก็ตาม ภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด เจเนอเรชันที่ 3 ของผลิตภัณฑ์ขนมไทย “บ้านทองหยอด” เล่าให้ฟังว่า แม้ตนเองจะเป็นรุ่นหลานที่เห็นธุรกิจนี้มาตั้งแต่เกิดก็ตาม แต่การเข้ามารับบริหารงานต่อก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค แต่สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในธุรกิจขนมก็คือ “รสชาติ”
“จุดแข็งของขนมไทยบ้านทองหยอด คือ มีรสชาติกลมกล่อม หอมอร่อย วัตถุดิบผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ให้ความสำคัญและใส่ใจทุุกขั้นตอนการผลิต และถูกหลักอนามัย ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด จุดแข็งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ โดยเรายังคงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานเป็นอย่างดี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรายังคงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมาตลอด”
นอกจากนี้เรายังต้องพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับขยายช่องทางการตลาดเพิ่มเติม จากเดิมในตอนแรกทำเฉพาะขนมทองหยอดและขนมทองหยิบจำหน่ายในตลาดสดเพียงช่องทางเดียว ก็พัฒนามาทำฝอยทองและเม็ดขนุนเพิ่มเติม เนื่องจากสามารถนำไปประยุกต์ในตลาดเบเกอรี่ได้ กระทั่งในปี 2560 และมองเห็นโอกาสในตลาดโมเดิร์นเทรด จึงเข้ามานำเสนอสินค้ากับทางซีพี ออลล์ และได้รับโอกาสนำขนมไทยบรรจุกล่องมาวางจำหน่าย ภายในกล่องประกอบด้วยขนม 3 ชนิด ได้แก่ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุนมาจำหน่ายที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในพื้นที่ภาคใต้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค กระทั่งปัจจุบันสินค้าดังกล่าวจำหน่ายที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ
แม้ว่ารสชาติขนมจะได้มาตรฐาน รสชาติคงที่ และตรงตามความต้องการของตลาด แต่เราก็ไม่อาจที่จะหยุดพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องการตลาด การพัฒนาสินค้า และการทำแพ็กเก็จจิ้ง โดยทางทีมงานของเซเว่นได้ให้คำแนะนำและให้ความรู้ในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “ฝอยทองรังนก” ซึ่งทางเซเว่น ก็ได้เข้ามาให้ความรู้เช่นเดิม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับดีเป็นอย่างดี
จากแนวคิดและมุมมองของผู้บริหาร NEW GEN ทั้ง 2 บริษัท เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า คนรุ่นใหม่ คืออีกหนึ่งความหวังและกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้สามารถก้าวผ่านทุกการเปลี่ยนแปลงในทุกบริบทของโลกการค้าได้อย่างน่าชื่นชม
|