“เรามองว่าในตอนนี้เป็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นอกจากจะมีอัตราการเติบโตโดดเด่นสำหรับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วยังมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นภูมิภาคอื่นท่ามกลางสภาวะการลด QE อีกทั้งยังมีนโยบายการลงทุนภาครัฐออกมาสนับสนุนต่อเนื่อง ถือว่าหาได้ยากในยุคที่หลายประเทศเริ่มมองถึงการถอนมาตรการช่วยเหลือ” นายศุภกร กล่าว
นายศุภกร กล่าวต่อว่า บลจ. พรินซิเพิล จึงเพิ่มทางเลือกแก่นักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเปิดตัว กองทุนเปิด พรินซิเพิล ยูเอส อิควิตี้ หรือ Principal US Equity Fund (PRINCIPAL USEQ) มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 8 – 15 กันยายน 2564 กำหนดสั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ iShares Russel 1000 ETF เป็นกองทุนหลัก ซึ่งหากย้อนดูในอดีตนับจากปี 2550 – 2563 ดัชนี Russell 1000 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก และให้ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่มีความโดดเด่น โดยให้ผลตอบแทน 1 ปี 43% 3 ปี 19% ต่อปี 5 ปี 18% ต่อปี และ 10 ปี 15% ต่อปี (ผลตอบแทนของดัชนีเทียบวัด : 1Y=43.07% ต่อปี 3Y=19.19% ต่อปี 5Y=17.99% ต่อปี และ 10Y=14.90% ต่อปี,
Source FTSE Russell ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564)
สำหรับกองทุน iShares Russel 1000 ETF จัดตั้งในเดือนพฤษภาคม 2543 โดย iShares เป็น ETFs ที่มีมูลค่าสินทรัพย์การบริหารจัดการสูงสุดในโลก บริหารจัดการโดย BlackRock บริษัทจัดการด้านการลงทุนข้ามชาติชั้นนำสัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งในปี 2531 โดย ณ เดือนมกราคม 2564 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงสุดในโลก มูลค่า 8.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กองทุนดังกล่าวเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง CBOE, NYSE, NYSE American,NASDAQ และ ARCA จัดน้ำหนักการลงทุนตาม Market Cap เพื่อให้ได้หุ้น 1,000 ตัวแรก พร้อมทั้งปรับสัดส่วนเป็นรายปีและ 6 เดือน และนำหุ้น IPO เข้าพอร์ตทุกเดือนที่ 3 9 และ 12 ปัจจุบันมีการกระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยที่กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2564 คือ Information Technology 28.05%, Health Care 13.20%, Consumer Discretionary 11.86%, Financials 11.52% และ Communication 10.73% โดยหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ได้แก่ APPLE, MICROSOFT, AMAZON, FACEBOOK, ALPHABET INC CLASS A, ALPHABET INC CLASS C, TESLA, BERKSHIRE, NVIDIA และ JPMORGAN (Source: Blackrock)
|