ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า รายได้ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งจะมาจากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และ GGC ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อย กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้า 3 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 85 เมกะวัตต์
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวว่า นอกจากปริมาณผลผลิตของทุกโรงงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาขายสินค้าในทุกกลุ่มก็คาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังคงทรงตัวในระดับสูง และจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนอีกด้วย เพราะสัดส่วนของน้ำตาลส่งออกสูงถึง 70-75% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนราคาเอทานอลก็น่าจะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
“ในส่วนของเยื่อกระดาษชานอ้อยนั้น มีความต้องการสูง เพราะคุณสมบัติของเยื่อชานอ้อยที่นุ่ม ซึมซับได้ดี ทำให้ราคาเยื่อกระดาษชานอ้อยสูงกว่าเยื่อกระดาษจากเยื่อยูคาลิปตัส จึงเชื่อว่า ราคาขายจะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง และอีกสายธุรกิจที่มีอัตรากำไรค่อนข้างสูงคือการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ก็คาดว่าจะมีรายได้ที่ดีเช่นกัน เพราะจะมีวัตถุดิบมากขึ้น จากเยื่อชานอ้อยที่มากกว่าปีก่อน” นายสมชายกล่าว
|