สสส. ผนึกภาคี ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กิจกรรมทางกาย ลดเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs 25% ในปี 2568
สอดคล้องกับ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส.และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า การเพิ่มกิจกรรมทางกาย จะเป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ในกลุ่มวัยทำงาน โดยองค์กรอนามัยโลกแนะนำว่า บุคคลที่สุขภาพปกติในวัยทำงานควรมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ และควรปฏิบัติเป็นประจำอย่างน้อย 150 -300 นาทีต่อสัปดาห์ ดังนั้นการอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงานจึงเป็นโครงการที่สนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี
ทั้งนี้ สสส.มองปัญหาโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ และเป็นภาระกิจสำคัญ โดยในปี 2562 คนไทยเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคนี้ ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องสูงถึง 427.4 คนต่อประชากร 100,000 คนดังนั้นสสส.จึงทำงานร่วมกับสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อ ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายโลก 9 ด้าน ตามที่ไทยได้ให้คำมั่นสัญญาในข้อตกลงของสหประชาชาติ โดยตั้งเป้าหมายการลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อหรือ NCDs (การเสียชีวิตก่อนอายุ 70 ปี) ลดลงประมาณ 25% ภายในปี 2568 และมีอัตราลดลง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดของไทย ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
เปิด 5 หลักสูตรผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน ชู คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี องค์กรต้นแบบ
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ ประธานหลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน กล่าวว่า ผู้เข้าอบรมหลักสูตรนี้จะได้รับความรู้จาก 5 ชุดวิชา ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ ได้แก่ รู้จัก NCDs การตรวจประเมินและการจัดการเชิงป้องกัน, การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย, การส่งเสริมโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรค, การพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ และการออกแบบและดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพในองค์กร ตามแนวคิด Design Thinking for Healthy Organization ซึ่งรูปแบบการอบรมจะเป็นการผสมผสานทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และการศึกษาด้วยตัวเอง เพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการที่จะนำไปใช้ในองค์กรของตน ระยะเวลาการอบรม 60 ชั่วโมง
“สสส.ต้องการสร้างผู้นำกิจกรรมทางกายในออฟฟิศ เพื่อนำไปขยายผลต่อ ไปยังกลุ่มเพื่อนพนักงานด้วยกันในเชิงเพื่อนชวนเพื่อน เมื่อคนในออฟฟิศเห็นตัวอย่างที่ดีก็จะเกิดแรงจูงใจหันมาปฏิบัติตามด้วย ดังนั้นเมื่อพนักงานสุขภาพกายดี สุขภาพใจดี ความเครียดลดลง บรรยากาศการทำงานก็จะมีความสุข หลักสูตรนี้จึงเหมาะกับองค์กรที่จะส่งมอบประโยชน์โดยตรงให้กับพนักงาน แสดงถึงนโยบายขององค์กรเน้นให้ความใส่ใจห่วงใย เป็นการสร้างวิถีชีวิตสุขภาวะที่ดีภายในองค์กร และส่งต่อไปยังครอบครัวของพนักงาน” รศ.นพ.เพชร กล่าว
รศ.ดร.นพวรรณ เปียซื่อ รองคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรงพยาบาลรามาธิบดี ประสบความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรสุขภาพดี (Healthy Organization) ในโครงการ Happy Healthy RAMA ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส. และเครือข่ายคนไทยไร้พุง เพื่อแก้ไขปัญหาบุคลากร นักศึกษาแพทย์และพยาบาล ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 13,000 คน และพบปัญหาสุขภาพสูงเทียบเท่าระดับประเทศ โดยสัดส่วน 1 ใน 3 มีภาวะโรคอ้วนลงพุง 1 ใน 2 เผชิญภาวะน้ำหนักเกิน 1 ใน 5 มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นเบาหวานแล้ว ขณะที่ 2 ใน 3 พบปัญหาไขมันในเลือดสูง
ทั้งนี้ตัวอย่างการเพิ่มกิจกรรมทางกายของโรงพยาบาลที่โดดเด่น ซึ่งเริ่มจากกิจกรรมเล็กๆ เช่น การอบรมผู้นำสุขภาพประจำแผนกซึ่งปัจจุบันมีมากถึง 200 คน ซึ่งมีแผนขยายโครงการเพิ่มขึ้นอีก การปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เอื้ออำนวยในการมีกิจกรรมทางกาย เช่นการเดินระหว่างทำงาน การขึ้นลงบันได การจัดตั้งศูนย์กีฬา ศูนย์สัมพันธ์สร้างสุขภาพ การปลูกผักออแกนิกในโครงการฟาร์มสร้างสุข เพื่อนำมาปรุงอาหารแก่ผู้ป่วยของโรงพยาบาลและบุคลากร รวมทั้งเป็นรางวัลจูงใจให้แก่พนักงานที่บรรลุเป้าหมายสุขภาพระหว่างวัน การเป็นโรงพยาบาลลดเค็มและอ่อนหวานเต็มรูปแบบ ด้วยบรรจุเมนูสุขภาพทางเลือกอย่างน้อย 1 เมนูในร้านอาหารภายในโรงพยาบาล การรณรงค์ดื่มน้ำเปล่า และเลิกบุหรี่ พร้อมทั้งขยายโครงการไปยังชุมชนใกล้เคียงจำนวน 8 แห่งอีกด้วย
“เราประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมบุคลากร นักศึกษาแพทย์และพยาบาล ให้มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น มีโภชนาการด้านอาหารที่ดีขึ้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะเป็นต้นแบบของสุขภาพดี ห่างไกลโรค เมื่อเขาไปทำงานที่ใดก็จะนำความรู้นี้ไปเผยแพร่ต่อไปสู่สังคม ดังนั้นจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ด้านสุขภาพดีภายในองค์กรของเรา ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จระดับชาติ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เชื่อคำแนะนำของหมอ” รศ.ดร.นพวรรณ กล่าว
|