เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ภาคการผลิตของโรงงานชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป คอนกรีตผสมเสร็จ แอสฟัลท์ติกคอนกรีต คอนกรีตอัดแรงและราวเหล็กลูกฟูกกันรถและท่อระบายน้ำ ตลอดจนการได้รับการต่ออายุสัมปทานบัตรการทำเหมืองหินปูน เป็นวัตถุดิบหลักในงานก่อสร้างและผลิตปูนซีเมนต์ ทำให้ CIVIL มีความได้เปรียบเชิงบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างที่ดี และยังสร้างโอกาสเติบโตที่ดีจากการจำหน่ายชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้างให้แก่คู่ค้าของบริษัทฯ ขณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการอสังหาริมทรัพย์และให้เช่าเครื่องมือเครื่องจักร ที่ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและเครื่องมือเครื่องจักร ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินธุรกิจและให้พันธมิตรทางธุรกิจร่วมเติบโตไปด้วยกัน และสอดคล้องกระแส Sharing Economy ของโลก
นายปิยะดิษฐ์ กล่าวว่า บริษัทฯ พัฒนาขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่บริษัทก่อสร้างชั้นนำที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ CIVL ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและร่วมผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมใช้เทคโนโลยีและวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่ ด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยช่วยบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสเข้าบริหารงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากภาครัฐเพิ่มเติม ทั้งรูปแบบเข้าประมูลโครงการและจับมือพันธมิตรธุรกิจเพื่อร่วมบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ที่ช่วยสร้างความมั่นคงด้านกระแสเงินสดให้แก่การดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทฯ นำจุดแข็งต่อยอดสู่กลุ่มลูกค้าภาคเอกชนและสร้างโอกาสรับงานบริหารโครงการที่หลากหลาย เพิ่มอัตราผลตอบแทนการบริหารโครงการก่อสร้างให้สูงขึ้น และพร้อมขยายไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตอบสนองต่อความต้องการอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขยายตัวและสร้างสมดุลของรายได้ให้แก่การดำเนินธุรกิจของ CIVIL ให้ดีที่สุด
นายโกวิท เนื่องสุข ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน CIVIL กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2562 - 2563 ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 3,210 ล้านบาทในปี 2562 และเพิ่มเป็น 4,130 ล้านบาทในปี 2563 ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 3,736 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,999 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมากกว่าร้อยละ 90 ของรายได้รวม ซึ่งมีอัตราขยายตัวอย่างโดดเด่นจาก 2,950 ล้านบาทในปี 2562 เพิ่มเป็น 3,752 ล้านบาทในปี 2563 และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 รายได้จากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ 3,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,719 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 30% โดยมีมูลค่าสัญญางานโครงการก่อสร้างที่รอส่งมอบ (Backlog) รวมถึงโครงการที่เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ประมาณ 16,800 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจและโอกาสเติบโตที่ดีของบริษัทฯ ในอนาคต
ขณะเดียวกัน ความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ CIVIL ยังโดดเด่น ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของบริษัทในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 14.60 ในปี 2562 และร้อยละ 9.28 ในปี 2563 ส่วน 9 เดือนแรกปี 2564 มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 11.08 ตอกย้ำแนวทางการบริหารความหลากหลายโครงการช่วยสร้างสมดุลระหว่างมูลค่าโครงการและผลตอบแทนและการจัดสรรทรัพยากรขององค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ข้อเปรียบเชิงการแข่งขันในทุกด้านเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการดำเนินโครงการ ทำให้บริหารจัดการต้นทุนที่ดี เป็นผลให้มีกำไรสุทธิในปี 2562 อยู่ที่ 141 ล้านบาท และ 87 ล้านบาทในปี 2563 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 170 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 4.38 ร้อยละ 2.10 และร้อยละ 4.56 ตามลำดับ
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า จากการนำเสนอข้อมูลแผนดำเนินงานและศักยภาพการเติบโตของ CIVIL ต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบัน พบว่า ได้รับความสนใจเนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากจุดเด่นประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมายาวนาน ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐขึ้นทะเบียนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นสูงและความโดดเด่นด้านบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนบริหารจัดการในหลายมิติรวมถึงมีโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างเป็นของตนเอง ช่วยเสริมสร้างโอกาสเติบโตจากการรับบริหารโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐเพิ่มขึ้นและต่อยอดขยายฐานลูกค้าภาคเอกชน พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขยายธุรกิจวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆ สร้างความมั่นคงของรายได้และผลักดันการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงกำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในระหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2565 และคาดว่าจะสามารถนำหุ้น CIVIL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณวันที่ 27 มกราคม 2565 โดย CIVIL จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพบริหารโครงการก่อสร้างให้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินมีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในการเข้าบริหารโครงการก่อสร้างรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
|