เรียนออนไลน์ภาระเพิ่ม ต้องซื้อ gadget ด้าน IT ให้ลูกใช้เรียน
ส่วนการเรียนของเด็กๆ ในปัจจุบัน ยังคงมีการเรียนออนไลน์ที่บ้านกันอยู่ คิดเป็น 58% แต่เริ่มมีผู้ปกครองที่เลือกให้บางวันเรียนที่บ้าน บางวันเรียนที่โรงเรียน (ไฮบริด) เพื่อยังคงไว้ซึ่งการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่ คิดเป็น 17% ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ปกครองที่เลือกส่งบุตรหลานให้ไปเรียนที่โรงเรียนเป็นหลัก เพื่อจะได้เจอเพื่อนๆ และคุณครู เพราะอยากให้การเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยคิดเป็น 25%
หากถามว่าการเรียนออนไลน์ที่บ้าน สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้จริงหรือไม่ จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองจำนวน 40% ต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่า มีค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องซื้ออุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และจ่ายค่าบริการอินเตอร์เน็ต แต่ก็มีผู้ปกครองอีก 24% ที่รู้สึกว่า มีค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลง เนื่องจากช่วยประหยัดค่าเดินทาง และทางโรงเรียนมีการลดค่าเทอม หรือค่าอาหาร ค่าบริการต่างๆ ให้ด้วย
อาชีพเดียวอยู่ไม่ได้ พ่อแม่ต้องสร้างรายได้เสริม
ทั้งนี้ theAsianparent ยังได้ทำการสำรวจถึงการซื้อสินค้าหรือการลงทุนของคุณพ่อคุณแม่ในปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า แม้เศรษฐกิจจะซบเซาด้วยพิษจากโควิด-19 ที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยในส่วนของมือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ลดลงเลย ในทางกลับกันมีการซื้อถึง 50% เลยทีเดียว โดยตัวเลขที่ชัดเจนนี้ พอจะบ่งบอกได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันมากเพียงใด เพราะไม่ว่าจะทั้งการทำงาน-ธุรกิจ หรือเรียนออนไลน์ของเด็กๆ ต่างต้องพึ่งพาอุปกรณ์เหล่านี้แทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจอีก ก็คือยานพาหนะ อันได้แก่ รถยนต์ มอเตอร์ไซต์ ซึ่งยังมีการซื้ออยู่ถึง 21% ตามด้วยการลงทุนในสลากธนาคารต่างๆ หรือกองทุน อยู่ที่ 22% และอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโด ที่ดิน หรือบ้าน อยู่ที่ 7%
สันทนาการนอกบ้านเป็นหมัน หลังโอไมครอนมาเยือนไทยเต็มรูปแบบ
สำหรับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ในช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นปีนี้ในเดือนมกราคม จากผลสำรวจพบว่ามีครอบครัวถึง 50% ที่ไม่ได้ออกไปทานข้าวสังสรรค์นอกบ้านเลย และทำกับข้าวทานเองที่บ้าน แต่ก็มีอีก 8% ที่ทานข้าวนอกบ้านมากกว่า 10 ครั้งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
และในทางกลับกันกลุ่มที่ออกไปทานข้าวนอกบ้านอีก 50% นั้น มีการใช้จ่ายค่าอาหารในแต่ละมื้อเกิน 500 บาท อยู่ถึง 48%
รู้หรือไม่? หากเทียบกันระหว่างเดือนมกราคม ปี 2564 กับ 2565 พบว่า 3 ใน 4 ของคุณพ่อคุณแม่ รู้สึกว่ามีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยลดลงกว่าเดิม โดยมากกว่าครึ่งของ 3 ใน 4 นี้ มีรายได้ลดลงกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
|