ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนแล้วกว่า 800 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี “EcommerceIQ” ซึ่งใช้ในการบริหารจัดการการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ได้เชื่อมต่อแพลตฟอร์มเข้ากับซอฟต์แวร์ช่องทางการเชื่อมต่อ (Application Programing Interfaces หรือ APIs) กว่า 300 รายการ ไปยังผู้ให้บริการต่างๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ Payment Gateway และ Warehouse Management System หรือ WMS เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจัดการกับธุรกรรมที่มีความซับซ้อนและสามารถรองรับคำสั่งซื้อได้มากกว่า 330,000 ออเดอร์ต่อวัน นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟแวร์ “EcommerceIQ Market Insights” ในรูปแบบ Software as a Service หรือ SaaS ซึ่งปัจจุบันให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงให้แก่แบรนด์สินค้า เพื่อให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคและคู่แข่ง ในการกำหนดราคาสินค้าและวางตำแหน่งการตลาดให้กับแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง
บริษัทฯมียอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 52 จากปี 2562 ถึงปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายเดิมและการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายใหม่ โดยหากพิจารณายอดขายของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายเดิมที่เริ่มใช้บริการกับบริษัทฯในปี 2559 ถึงปี 2562 พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่างร้อยละ 35 ถึงร้อยละ 184 แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จในการสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯมีฐานลูกค้าแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนำระดับโลกรวมกว่า 168 ราย สุทธิเพิ่มขึ้นมากถึง 50 รายจากปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ 43 ซึ่งช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทฯอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนและเพิ่มฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
1. มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจำนวนแบรนด์ รายการสินค้า และการให้บริการมากกว่า 1 ประเทศ
2. ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ
3. ขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
4. มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS ทั้งในด้านฟีเจอร์ต่างๆ และเพิ่มความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพื่อขยายไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น ตั้งแต่บรรษัทข้ามชาติถึงธุรกิจขนาดกลาง ด้วยต้นทุนส่วนเพิ่มที่น้อยมากเนื่องจากอยู่ในรูปแบบ Software as a Service หรือ SaaS และ
5. การเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคตเพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ เช่น เวียดนาม และขยายธุรกิจที่มีในมาเลเซีย การเสริมขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของบริษัทฯ และ แบรนด์ที่มีการขายเฉพาะในช่องทางออนไลน์ (Private Online Brands) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและที่จะช่วยให้บริษัทฯ ได้ประโยชน์จากความสามารถในการจัดจำหน่ายแบบหลากหลายช่องทาง (Omnichannel)
“เรามี DKSH ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการขยายตลาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย เป็นพันธมิตรที่ดีและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเราตั้งแต่ปี 2558 ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH โดยทางบริษัทฯ จะเป็นพาร์ทเนอร์เพียงรายเดียวของ DKSH สำหรับการให้บริการธุรกิจออนไลน์แบบ Business-to-Consumer หรือ B2C ทั้งหมดในประเทศที่ ACOM ดำเนินธุรกิจ โดย DKSH ได้ถ่ายโอนและแนะนำแบรนด์ที่ต้องการขยายธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ให้กับ ACOM จึงทำให้ไตรมาสที่ 4/2564 แบรนด์ที่ใช้บริการของเราแบบครบวงจรเพิ่มขึ้นจาก 120 แบรนด์ (ในไตรมาสที่ 3/2564) เป็น 168 แบรนด์ ทำให้เรามีโอกาสให้บริการแก่แบรนด์สินค้าใหม่หลายรายจาก DKSH นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังวางแผนเร่งขยายธุรกิจไปยังเวียดนามเพื่อสนับสนุน DKSH และลูกค้าของเรา” นายวีระพงษ์ (พอล) กล่าว
นายธนิก ธราวิศิษฏ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญ จำนวนรวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยเอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้สำหรับการลงทุนขยายธุรกิจและเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคต เพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และขยายขีดความสามารถในการให้ได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ใช้เป็นเงินทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยทั่วไป ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตการเสนอขายหุ้น IPO และแบบแสดง รายการข้อมูลฯ (ไฟลิ่ง) แล้ว |