สำหรับปัจจัยบวกสู่ความสำเร็จในยุคเปิดเมือง นอกจากปัจจัยหนุนจากภายนอกอย่าง มาตรการผ่อน LTV จาก 90% เป็น 100% สำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่ 1 ที่มีราคา (มูลค่าหลักประกัน) มากกว่า 10 ล้านบาท และราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 เป็นต้นไปแล้ว โดยมาตรการนี้จะสิ้นสุดปี 2565 ปัจจัยหนุนภายในถือเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ นั่นคือ การนำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพ หลากทำเล ในราคาที่เข้าถึงได้ โดย 21 โครงการของบริษัทที่นำมาออกงาน มีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายทำเล หลากหลายเซ็กเมนท์ ครอบคลุมลูกค้า Gen Y, Gen Z, สตาร์ทอัพ, คนรักสัตว์เลี้ยง (Pet Lover), คนทำงานใน EEC, นักลงทุนระยะยาว มหกรรม “โปรแร๊ง เกินปุยมุ้ย” จึงเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการของบริษัทได้ง่าย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การจัดมหกรรมแบบ On-site ยังถือเป็นการช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Brand Engagement) ทั้งแบรนด์ของบริษัทและแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ๆ ผ่านหลากกิจกรรมในงาน ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคที่มาจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้า รู้จัก มีส่วนร่วม และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเติมเต็มการตลาดของเครือออริจิ้นให้ครบ 360 องศา
ที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดผ่านทั้งช่องทางการขายดั้งเดิมและช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ การจับมือกับ AIS พัฒนาช่องทางการขายในโลกเสมือนในแพลตฟอร์ม https://v-avenue.co และจัดโปรโมชั่นมอบสิทธิพิเศษ ไปจนถึงโครงการที่อยู่อาศัยราคาพิเศษให้แก่ลูกค้าของ AIS บริษัทจะยังคงเดินหน้ามองหาช่องทางการตลาดและการขายรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคแห่งอนาคต ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าในทำเลใหม่ๆ และเซ็กเมนท์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สมฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมของปี 2565 คาดว่าธุรกิจคอนโดมิเนียมจะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายได้ทะลุ 35,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 101 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,100 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
|