โดยแม็คโครวางกลยุทธ์ในการพัฒนาเอสเอ็มอีไทยสู่ตลาดต่างประเทศผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ด้าน
1. การพัฒนาช่องทางการตลาด ผสมผสานทั้งออนไลน์ และช่องทางการจำหน่ายผ่านสาขาของแม็คโครทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งถือเป็นตลาดที่ชื่นชอบสินค้าไทยและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งปัจจุบันแม็คโครมีสาขาในต่างประเทศรวม 7 สาขา ได้แก่ กัมพูชา 2 สาขา เมียนมา 1 สาขา อินเดีย 3 สาขาและจีน 1 สาขา
2. การพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อย โดยการสร้างองค์ความรู้ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยสู่การเป็น ‘Smart SMEs”
3. การสนับสนุนและเชื่อมโยงกับสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
4. การร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและสนับสนุนเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นางศิริพร กล่าวว่า จากผู้ผลิตเอสเอ็มอีที่แม็คโครให้การสนับสนุนกว่า 2,000 ราย ปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังสาขาของแม็คโครในต่างประเทศแล้วกว่า 100 รายการ ทั้งกลุ่มอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องดื่ม รวมถึงสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคในเอเชีย เช่น บริษัท เก้าดาวฟาร์ม (2005) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปูนิ่มแช่แข็ง ภายใต้แบรนด์เอโร่ ผลิตภัณฑ์น้ำพริกและเครื่องแกง “จะโหรม” ซึ่งเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีจากจังหวัดตรัง ปัจจุบันเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในประเทศเพื่อนบ้านของไทย
“ภายใต้วิกฤตอาหารโลกที่เกิดขึ้น เอสเอ็มอีไทยยังมีโอกาสอีกมาก และแม็คโครพร้อมที่จะเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ โดยใช้ความเชี่ยวชาญและความเข้าใจลูกค้าของเราในทุกประเทศ ให้คำแนะนำด้านการพัฒนาคุณภาพและบรรจุภัณฑ์สินค้าให้ตรงใจลูกค้า และเข้าไปสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้มีโอกาสเติบโตก้าวไปสู่ตลาดต่างประเทศอย่างแข็งแรง สร้างความมั่นคงทางอาชีพ และรายได้ที่ยั่งยืน อันจะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไป” นางศิริพรกล่าวทิ้งท้าย
|