1. เนื้อหาในการผลิตสื่อ และการสร้างลิขสิทธิ์ทางปัญญา (IP)
สำหรับเนื้อหาในส่วนนี้ โทมัส พอลสัน (Thomas Polson) ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมบันเทิงของโลกมากว่า 35 ปี ให้ข้อเสนอแนะว่าผู้ผลิตสื่อควรศึกษาพัฒนาการจากที่อื่นๆ ในเอเชียที่ประสบความสำเร็จ โดยจะเห็นได้ว่าเราจะสามารถเลือกเนื้อหาที่สร้างลิขสิทธิ์ทางปัญญาได้อย่างหลากหลาย สำหรับประเทศไทยเองมีความโดดเด่นในเรื่องราวสยองขวัญและการต่อสู้ หรือในส่วนเรื่องของอาหารก็น่าหยิบมานำเสนอ สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ชมประทับใจคือการนำเสนอเรื่องราวที่เป็นตัวเอง แต่ถูกเล่าออกมาอย่างเป็นสากล คือเข้าใจได้ง่ายแม้ต่างวัฒนธรรม ผู้ผลิตสื่อควรศึกษาโครงสร้างของสื่อ ก็จะทำให้รู้ว่าจะวางโครงสร้างอย่างไรให้เข้าใจได้ง่าย
2. การอำนวยการผลิตสื่อ และการเตรียมตัวเพื่อการระดมทุน
ไมเคิล เพย์เซอร์ (Michael Peyser) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า แม้ปัจจุบันจะมีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากมาย แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่กำหนดเนื้อหาการรับชมอย่างแท้จริงคือคือผู้ชม ดังนั้นต้องวิเคราะห์ตลาดผู้ชมให้ออกว่าต้องการขายใคร เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีผู้ชมและตลาดที่ต่างกัน หรือในทางกลับกันหากมีเรื่องราวที่น่าสนใจและต้องการสร้าง ก็สามารถประเมินจำนวนผู้ชมได้ สิ่งสำคัญอีกประการคือต้องวางแผนและกำหนดงบประมาณที่ละเอียดชัดเจนให้ได้ เพราะจะต้องตกลงกับสตรีมเมอร์ถึงสัดส่วนค่าตอบแทน ที่จะต้องให้คุ้มค่ากับการลงทุนและได้รับผลกำไร ในส่วนของการหาทุนนั้น สามารถหาได้จากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร หรือ สตูดิโอใหญ่ที่พร้อมลงทุน หรือแม้แต่ในส่วนของรัฐบาลของบางประเทศ ก็มีนโยบายสนับสนุนทุนให้กับอุตสาหกรรมสื่อ แต่ผู้ผลิตจำเป็นต้องเตรียมตัวพัฒนาบทให้มีไอเดียที่น่าสนใจเสียก่อน
3. การยกระดับอุตสาหกรรมสื่อของไทย
นิโคลัส ไซม่อน (Nicholas Simon) ผู้อำนวยการสร้างและกรรมการผู้จัดการบริษัท Indochina Productions ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แม้ความนิยมในการรับชมผลงานจากเกาหลีจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นเนื้อหาไทยกลายเป็นที่นิยมเช่นกัน สิ่งสำคัญคือการนำเสนอเรื่องราวของชีวิต โดยเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ผู้ผลิตสนใจและสร้างเกิดความนิยมให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นก่อน จากนั้นผลงานก็จะสามารถก้าวไปถึงระดับสากลได้
4. การใช้เทคนิคพิเศษ
อิริค วีเวอร์ (Erik Weaver) ผู้ที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้านในอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิง (M&E) กล่าวในส่วนของการใช้เทคนิค Visual Effect (VFX) ว่า ผู้ผลิตสื่อต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์การผลิต อัพเดทความก้าวหน้าต่างๆ ให้ทัน เพราะการผลิตในปัจจุบันแทบดูไม่ออกเลยว่าสิ่งไหนเป็นของจริงหรือไม่ ยิ่งมีผลกระทบของโควิด-19 การใช้ VFX ยิ่งถูกผลักดันให้ก้าวหน้า เพราะมีส่วนในการลดค่าใช้จ่ายในการผลิตด้วย
5. การบริหารการผลิตระหว่างประเทศ
พันคำ เวียนตระกูล หนึ่งในคนไทยผู้ไปสร้างชื่อเสียงระดับโลกในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ นักเขียน และศิลปิน Visual Effects กับประสบการณ์ในวงการภาพยนตร์มาเกือบ 15 ปี กล่าวว่า ปัจจุบันเราสามารถทำงานกับศิลปินได้ทั่วโลก แม้จะอยู่กันคนละที่ก็ตาม หัวใจหลักของการทำงานร่วมกันในโลกเสมือนจริงก็คือ ต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี รวมถึงแนวคิดที่สามารถออกแบบการทำงานให้ใช้ได้ทั้งโลกเสมือนจริงและโลกจริง
6. การจัดจำหน่ายผลงาน
หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้อำนวยการฝ่ายจัดรายการ Viu Thailand เผยว่า สตรีมเมอร์ต้องการหาความสดใหม่ ผู้ผลิตควรเข้ามาศึกษาแพลตฟอร์มก่อนว่ามีโครงสร้างแบบใด เพื่อทำความเข้าใจเหตุผลที่ยูเซอร์เลือกใช้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการผลิตผลงาน ในขณะที่ โยลันดา มาเซียส์ (Yolanda Macias) ผู้รับผิดชอบด้านการจัดซื้อลิขสิทธิ์ในเนื้อหาสื่อทั่วโลกเพื่อการเผยแพร่ผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ เสริมว่า ในการเลือกซื้อผลงานจะพิจารณาตามความเหมาะสมว่าตรงกับ Mood ของช่องทางหรือไม่ และในกรณีที่จะไปทำตลาดในประเทศต่าง ๆ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเองก็มุ่งหวังที่จะได้พบปะแลกเปลี่ยนกับผู้สร้างผลงานในท้องถิ่น รวมทั้งสร้างช่องทางสำหรับเนื้อหาในท้องถิ่นด้วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจในการสัมมนาครั้งนี้อีกมากมาย อาทิ การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของอุตสาหกรรมสื่อใน ยุคหลังโควิดทั้งในฝั่งผู้ผลิตและผู้รับชม ปัจจัยเสี่ยงในการผลิตที่ควรให้ความสนใจ การนำ Soft Power ของไทยเข้าเป็นส่วนผสมในผลงาน การผลิตเพื่อเผยแพร่สู่แพลตฟอร์มต่างๆ เป็นต้น
เรียกได้ว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับฟังจากเหล่าวิทยากร ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการสร้างแรงบันดาลใจ และสร้างแนวทางปฏิบัติ ให้กับผู้ผลิตสื่อไทยทุกท่านได้นำไปปรับใช้และพัฒนาผลงานการผลิตของตนเอง เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ผลิตสื่อไทยในการนำคอนเท้นต์ฝีมือของคนไทยให้ไปสู่เวทีโลกได้ในเวลาอันใกล้
โดยในช่วงท้ายของการสัมมนา ได้รับเกียรติจาก ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ กล่าวขอบคุณเหล่าวิทยากร และผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน พร้อมกล่าวสรุปการสัมมนาในครั้งนี้ โดย ดร.ชำนาญ กล่าวว่า ในการสัมมนาครั้งนี้ผู้เข้าร่วมทุกท่านได้เห็นถึงความสำคัญในการสร้างเนื้อหาไทยให้ไปสู่ระดับโลก ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย และได้เห็นว่าประเทศไทยมีเนื้อหาและ Soft power ในหลายๆ เรื่อง ที่มีตลาดพร้อมรองรับเนื้อหาเหล่านี้ ได้เห็นการนำ เทคโนโลยีสมัยใหม่มาสนับสนุนการผลิต บทบาทของผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ รูปแบบของแผนธุรกิจที่เหมาะสม เห็นถึงตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดสตรีมมิง และเนื้อหาที่ผู้ชมต้องการจากบริบทแบบไทย ซึ่งผู้ผลิตสื่อไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าผู้ซื้อต้องการ เนื้อหาแบบใด บนแพลตฟอร์มของเขาเผยแพร่เนื้อหาแบบใดอยู่ เอกลักษณ์และความแตกต่างของแต่ละช่อง การไปออกงานเทศกาล ต่างๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่ง กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีการสนับสนุนกิจกรรมเหล่านั้นทั้งหมดอยู่แล้ว โดยเฉพาะเนื้อหาที่มีความ ปลอดภัยและ สร้างสรรค์ ซึ่งกองทุนสื่อสามารถช่วยสนับสนุนทุนในการผลิตได้ อยากให้มีการพัฒนาสื่อต่างๆ ของไทยทุกประเภท ให้ไปสู่ระดับสากล
ดร.ชำนาญ กล่าวเสริมอีกว่า ‘กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงยกระดับอุตสาหกรรมสื่อไทยที่มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้มุ่งหน้าสู่ตลาดโลก โดยเรากำหนดภารกิจ ไว้ทั้ง 3 ด้าน คือ พัฒนานักสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพ พัฒนาแหล่งเงินทุนในการผลิตและการเข้าถึง และพัฒนาขยายเรื่องราวของไทยให้เข้าถึงผู้เสพสื่อทั่วโลกให้มากขึ้น ในอนาคตเราหวังจะเป็น One-Stop-Service ที่ให้การสนับสนุนผู้ผลิตสื่อไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาไอเดีย หาแหล่งเงินทุน การผลิต ไปจนถึงจัดจำหน่ายและการเข้าถึงตลาดในต่างประเทศ นอกจากนี้เราจะมีการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มรับชมต่าง ๆ ในต่างประเทศให้มากขึ้น เพราะเป็นหัวใจสำคัญจะทำให้ผู้ผลิตสื่อไทยสามารถนำผลงานไปสู่สายตาชาวโลกได้ ในขณะเดียวกันเราก็จะให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ผลิตสื่อ ถึงกระบวนการ
พิชชิ่งงาน (Pitching) ในแบบนานาชาติ ที่ผู้ผลิตสื่อทั่วโลกปฏิบัติกันเป็นสากล’
|