นายนพเดช กล่าวต่อว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าถือว่ามีบทบาทสำคัญในการร่วมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) บี.กริม. เพาเวอร์ จึงมีนโยบายสนับสนุนการสร้างสตาร์ทอัพด้านพลังงาน เพื่อร่วมพลิกโฉมนวัตกรรมพลังงานของประเทศไทยและลดการปล่อยคาร์บอน จึงมีความสนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” หรือ DTS ร่วมมือกันสร้างสตาร์ทอัพค้นหาโซลูชั่นลดคาร์บอน และผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ให้สำเร็จ ซึ่งภาพรวมของประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความร่วมมือสร้างเครือข่ายต่าง ๆ ในการสร้างนวัตกรรมสำหรับการใช้พลังงานทดแทนในรูปแบบใหม่
“ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ดำเนินธุรกิจในไทยครบรอบ 144 ปีแล้ว มีปรัชญาที่ยึดถือมาตลอดคือ การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี การร่วมสร้างคุณค่าให้แก่สังคมในรูปแบบ Sustainable Utility Solution Provider ด้วยการผลิตพลังงานที่มีคุณภาพสูงและบริการแบบครบวงจร และการร่วมสร้างธรรมาภิบาล ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างคุณค่าให้แก่สังคมไทย เติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกต่อไป” นายนพเดช กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ โครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” พื้นที่แห่งโอกาสของสตาร์ทอัพในการเชื่อมต่อและสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเป็นร่วมมือระหว่างบริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัดและบริษัท นิวเอนเนอร์จี้ เน็กซัส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรองค์กรชั้นนำของประเทศไทย ประกอบด้วย บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (B.Grimm Power Public Company Limited), เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group), บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC Public Company Limited) และบมจ. ปตท. (PTT Public Company Limited) เพื่อร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อธุรกิจพลังงาน ที่จะร่วมค้นหาสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยี โซลูชั่น หรือมีแพลตฟอร์มในการลดปล่อยคาร์บอน เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัลต่อยอดสู่การสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่ ที่จะช่วยผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมการลดคาร์บอนของภูมิภาคอาเซียนในระยะต่อไป
|