สำหรับแผนการดำเนินงานนับจากนี้ยังคงเน้นเรื่องคุณภาพของการรับงานประกันภัยและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า เช่น นายหน้า ตัวแทน บริษัทสำรวจภัย ศูนย์ซ่อมและอู่ ควบคู่กับการหาพันธมิตรใหม่เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตรงกับความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และการขยายการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มธุรกิจ นอกจากนี้ ด้านการบริการและสนับสนุนการขาย บริษัทฯ จะยังคงปรับปรุงกระบวนการทำงานและคุณภาพการให้บริการในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านบริการสินไหมอย่างต่อเนื่อง
ด้านนางสาวคณิดา นิมมาณวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี กล่าวถึงผลดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 171.5 ล้านบาท มีกําไรสุทธิ 23.4 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการรับรู้เบี้ยประกันภัย 111.0 ล้านบาท และมีรายได้อื่นเพิ่มขึ้นจากการกลับรายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดีความในอดีต ซึ่งคดีความได้สิ้นสุดลงและบริษัทฯ ไม่มีภาระต้องจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าว ขณะที่อัตราส่วนสินไหมสุทธิลดลงจากร้อยละ 74 เป็นร้อยละ 46 และค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยอื่นใกล้เคียงกับปีก่อน
สำหรับงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 512.9 ล้านบาท มีรายได้รวมจํานวน 454.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 210.8 ล้านบาทจากปี 2562 เป็นรายได้จากการรับประกันภัยจํานวน 370 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้เบี้ยประกันภัยที่สามารถรับรู้เป็นรายได้ (Earned Premium) จำนวน 288.5 ล้านบาท ค่าจ้างและค่าบําเหน็จรับจากบริษัทประกันต่อ 108.5 ล้านบาท สัดส่วนเบี้ยประกันภัยของบริษัทฯ มาจากงานประเภทรถยนต์ร้อยละ 90 และประเภทอื่นร้อยละ 10 รายได้จากการลงทุนและรายได้อื่นจํานวน 84.1 ล้านบาท
ขณะที่อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR RATIO ของบริษัทฯ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนด มาตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 และแข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะหลังการเพิ่มทุนในไตรมาส 4/2562 โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ที่ร้อยละ 601 ล่าสุด ณ ไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ร้อยละ 518
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าในปี 2563 จะมีเบี้ยประกันภัยรับทั้งสิ้นประมาณ 670 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากในปี 2562 ที่มีเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 507.3 ล้านบาท โดยจะมาจากงานประเภทรถยนต์ร้อยละ 85 และงานประเภทอื่นร้อยละ 15 |